สุขภาพแข็งแรงด้วยความรู้ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์2

อวัยวะที่สำคัญของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วย
    1. รังไข่ (Ovary) มีรูปร่างคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยาวประมาณ 2-36 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2-3 กรัม และมี 2 อันอยู่บริเวณปีกมดลูกแต่ละข้างท าหน้าที่ ดังนี้
        1.1 ผลิตไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง โดยปกติไข่จะสุกเดือนละ 1 ใบ จากรังไข่แต่ละข้างสลับกันทุกเดือน และออกจากรังไข่ทุกรอบเดือนเรียกว่า การตกไข่ ตลอด ช่วงชีวิตของเพศหญิงปกติจะมีการผลิตไข่ประมาณ 400 ใบ คือ เมตั้งแต่อายุ 12 ปี ถึง 50 ปี จึงหยุดผลิต เซลล์ไข่จะมีอายุอยู่ได้นานประมาร 24 ชั่วโมง
        1.2 สร้างฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่
           • อีสโทรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับมดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำนม และควบคุมการเกิดลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย หน้าอกและอวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น เป็นต้น
           • โพรเจสเทอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่ทำงานร่วมกับอีสโทรเจนในการ ควบคุมเกี่ยวกับเกี่ยวกับการเจิญของมดลูก การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุมดลูกเพื่อเตรียม รับไข่ที่ผสมแล้ว
    2. ท่อนำไข่ (Oviduct) หรือปีกมดลูก (Fallopian Tube) เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้ง สองข้างกับมดลูก ภายในกลวง มีส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร มีขนาดปกติเท่ากับเข็มถัก ไหมพรมยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่ เข้าสู่มดลูก โดยมีปลายข้างหนึ่งเปิดอยู่ใกล้กับรังไข่ เรียกว่า ปากแตร ( Funnel) บุด้วยเซลล์ที่มีขน 30 สั้นๆ ทำหน้าที่พัดโบกไข่ที่ตกมาจากรังไข่ให้เข้าไปในท่อนำไข่ ท่อนำไข่เป็นบริเวณที่อสุจิจะเข้า ปฏิสนธิกับไข่
     3. มดลูก (Uterus) มีรูปร่างคล้ายผลชมพู หรือรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับลง กว้าง ประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ในบริเวณอุ้ง กระดูกเชิงกราน ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับทวารหนัก ภายในเป็นโพรง ทำหน้าที่เป็นที่ฝังตัวของไข่ ที่ได้รับการผสมแล้ว และเป็นที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์
    4. ช่องคลอด (Vagina) อยู่ต่อจากมดลูกลงมา ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก เป็นทางออกของทารกเมื่อครบกำหนดคลอด และยังเป็นช่องให้ประจำเดือนออกมาด้วย ประจำเดือน (Menstruation) คือเนื้อเยื่อผนังมดลูกด้านในและหลอดเลือดที่สลายตัวไหลออกมาทางช่องคลอด ประจำเดือนจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ไม่ได้รับการผสมกับอสุจิเพศหญิงจะมีประจำเดือนตั้งแต่อายุประมาณ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีรอบของการมีประจำเดือนทุก 21-35 วัน เฉลี่ยประมาณ 28 วัน จนอายุประมาณ 50 ปี จึงจะหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะมีช่วงระยะเวลาการมีประจำเดือนประมาณ 3-6 วัน ซึ่งจะเสียเลือดทางประจำเดือน แต่ละเดือนประมาณ 60-90 ลูกบาศก์เซนติเมตร ดังนั้นผู้หญิงจึงควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก และโปรตีน เพื่อสร้างเลือดชดเชยส่วนที่เสียไป การที่ผู้หญิงบางคนมีประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจเนื่องมาจากอารมณ์และความวิตกกังวลทำให้การหลั่งฮอร์โมนของสมองผิดปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองที่ทำหน้าที่ กระตุ้นให้ไข่สุก คือ ฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) เซลล์ไข่มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์อสุจิประมาณ 50,000-90,000 เท่า ขนาด ของเซลล์ไข่ประมาณ 0.2 มิลลิเมตร เราสามารถมองเห็นเซลล์ไข่ได้ด้วยตาเปล่า

:: ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ ::
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ตามปกติร่างกายของคนเรามีการตั้งครรภ์และคลอดทารก คราวละ 1 คน แต่บางกรณีร่างกายของคนเราอาจมีโอกาสตั้งครรภ์และคลอดทารกครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์แบบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คือ
    1. แฝดร่วมไข่คือฝาแฝดที่เกิดจากไข่ 1 ฟองผสมกับตัวอสุจิ 1 เซลล์ แต่ไข่ที่ได้รับการผสม แล้วขณะที่กำลังเจริญเป็นเอ็มบริโอ ในระยะแรกๆ เกิดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน และแยกขาดออกจากกัน แล้วเจริญเติบโตเป็นทารกและคลอดในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝดประเภทนี้จะมีรูปร่างลักษณะ เหมือนกัน มีเพศเดียวกัน มีอุปนิสัยใจคอและความสามารถคล้ายกันเมื่อได้รับการเลี้ยงดูใน สภาพแวดล้อมเดียวกัน ในบางครั้งฝาแฝดร่วมไข่ซึ่งเกิดจากเอ็มบริโอที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน แต่ไม่แยกออกจากกัน โดยเด็ดขาด ทำให้ทารกที่คลอดออกมามีอวัยวะบางส่วนติดกัน เช่น แฝดสยาม (Siamese twin) คู่ แรกที่ชื่ออิน - จัน มีส่วนอกติดกันและมีตับเป็นเนื้อเดียวกันหรือแฝดลาร์ดาน - ลาร์เลห์มีส่วนหัว ติดกัน เป็นต้น
    2. แฝดต่างไข่คือแฝดที่เกิดจากไข่คนละฟองผสมกับตัวอสุจิคนละเซลล์ ได้เอ็มบริโอมากกว่า 1 เอ็มบริโอ สาเหตุที่เกิด เนื่องจากมีไข่สุกพร้อมกันมากกว่า 1 ฟองจากรังไข่ข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ขณะที่เอ็มบริโอเจริญอยู่ในมดลูกรกจะแยกจากกันและทารกจะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน แฝดประเภทนี้อาจมีเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้ และมีลักษณะทางพันธุกรรมต่างกัน ความผิดปกติในการตั้งครรภ์นอกจากทำให้เกิดฝาแฝดแล้วยังอาจทำให้เกิดผลอื่นๆ เช่น การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด การท้องนอกมดลูก เป็นต้น การแท้ง หมายถึง การที่ทารกคลอดก่อนอายุครรภ์จะครบ 28 สัปดาห์ หรือมีน้ำหนักน้อย กว่า 1,000 กรัม
การคลอดก่อนกำหนด หมายถึง การที่ทารกคลอดในช่วงอายุ 28-37 สัปดาห์
การท้องนอกมดลูก หมายถึง การที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วไปฝังตัวที่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ มดลูก เช่นบริเวณช่องท้องหรือปีกมดลูกซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

 :: ความพิการแต่กำเนิด ::
สาเหตุของความผิดปกติแต่กำเนิดมีหลายประการ ดังนี้
    1. การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์เช่น เชื้อแบคทีเรียที่ท าให้เกิดโรคซิฟิลิส โคโนเรีย เชื้อไวรัสท าให้ เกิดโรคหัดเยอรมัน โรคเอดส์ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้จะแพร่เข้าสู่เอ็มบริโอทำให้ทารกที่คลอดออกมาพิการ ได้
    2. ยาหรือสารเคมีบางชนิด ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์จึงไม่ ควรซื้อยารับประทานเอง ไม่ควรสูดดมหรือรับประทานยาหรือสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของตน และทารก
    3. ความผิดปกติของหน่วยพันธุกรรมหรือยีน หน่วยพันธุกรรมหรือยีนหมายถึงหน่วยที่ ควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น สีผิว สีผม สีตา ความสูง สติปัญญา เป็น ต้น หน่วยพันธุกรรมหรือยีนสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกหลานได้ยีนที่ผิดปกติ เช่น โรคปัญญา อ่อนบางชนิด โรคเลือดผิดปกติ ( ทาลัสซีเมีย ) ซึ่งในคนปกติอาจมียีนเหล่านี้แฝงอยู่และสามารถ 32 ถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ยีนที่ผิดปกติเหล่านี้ ส่วนมากเป็นยีนด้อยและอาจแสดงลักษณะด้อยเหล่านี้  ออกมาให้เห็นในรุ่นลูกหรือรุ่นหลาน หน่วยพันธุกรรมหรือยีนของแต่ละลักษณะจะมีอยู่เป็นคู่ๆ บน โครโมโซมซึ่งอยู่ใน นิวเคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์ ยีนของแต่ลักษณะที่อยู่เป็นคู่ๆ นั้น หน่วยหนึ่งจะ ได้มาจากพ่อและอีกหน่วยหนึ่งได้มาจากแม่ โครโมโซมของมนุษย์มี 23 คู่หรือ 46 อันเป็นโครโมโซมร่างกาย 22 คู่หรือ 44 อัน และเป็น โครโมโซมเพศ 1คู่หรือ 2 อัน แต่ละคู่บนโครโมโซมจะมียีนอยู่เป็นคู่ๆดังนั้นแต่ละหน่วยของยีนในแต่ และคู่จะแยกกันอยู่บนโครโมโซมแต่ละอันซึ่งเป็นคู่กัน หน่วยพันธุกรรมหรือยีนมี 2 ประเภท คือ
        3.1 ยีนเด่น คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นๆ ออกมาได้ แม้จะมียีนนั้นเพียงยีนเดียว เช่น ยีนโรคเลือดผิดปกติ ( ทาลัสซีเมีย ) อยู่คู่กับยีนปกติ ยีนปกติเป็นยีนเด่น ดังนั้นลักษณะเลือดจึงเป็น ปกติไม่เป็นโรคทาลัสซีเมีย
        3.2 ยีนด้อย คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้นๆ ออกมาได้ก็ต่อเมื่อยีนด้อยนั้นต้องมียีนอยู่ ด้วยกัน เช่น ยีนโรคเลือดผิดปกติ( ทาลัสซีเมีย ) ซึ่งเป็นยีนด้อย ถ้ายีนนี้มี 2 ยีนจะแสดงอาการของ โรคทาลัสซีเมียออกมาทันที หน่วยพันธุกรรมแสดงลักษณะจะอยู่เป็นคู่ๆ

 :: การใช้เทคโนโลยีการผสมเทียม ::
การผสมเทียม คือ การปฏิสนธิแบบไม่ต้องมีการร่วมเพศตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาให้แก่คู่สมรสที่มีบุตรยาก ปัญหาโรคทางพันธุกรรมและการเลือกเพศบุตร การผสมเทียมเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเพศชายและเพศหญิงในกรณีต่างๆ ดังนี้
    1. มีปริมาณตัวอสุจิน้อยกว่าปกติหรือมีตัวอสุจิที่ไม่แข็งแรง
    2. มีความบกพร่องของหน่วยพันธุกรรม กรณีนี้อาจใช้วิธีฉีดเซลล์อสุจิของเพศชายอื่นเข้าไป ในโพรงมดลูกของภรรยาแทน
    3. มีความบกพร่องทางโครงสร้างและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ จนทำให้ไม่สามารถมีลูกเองได้ เช่น กรณีของเพศหญิงที่มีปัญหาเกิดขึ้นกับโครงสร้างและระบบการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อน าไข่ตีบ ไข่ไม่สามารถเดินทางมาผสมกับตัวอสุจิได้ สามารถผสมเทียมได้โดยนำเซลล์ไข่จาก รังไข่มาผสมกับเซลล์อสุจิภายนอกร่างกาย เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้วจึงนำเอ็มบริโอที่ได้ฉีดเข้าไปทาง ช่องคลอดของฝ่ายหญิงเพื่อให้เอ็มบริโอไปฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไปในมดลูก เรียกทารกที่กำเนิด แบบนี้ว่า“ เด็กหลอดแก้ว (test-tube baby)” การผสมเทียมโดยวิธีทำกิฟต์ (GIFT) ย่อมาจาก gamete intra-fallopian transferเป็น วิธีการผสมเทียมที่ทำโดยฉีดเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิเข้าไปในท่อนำไข่ ให้ผสมกันเองที่บริเวณท่อนำไข่ และเมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้วเอ็มบริโอจะเคลื่อนมาฝังตัวในมดลูก ขั้นตอนการทำกิฟต์มีดังนี้
    1. กระตุ้นให้เกิดการตกไข่ของฝ่ายหญิงพร้อมกันหลายๆ เซลล์ โดยให้กินยาร่วมกับการฉีดยา ประเภทฮอร์โมน
    2. เมื่อไข่สุกเต็มที่ก็จะดูดไข่ออกจากรังไข่ทางด้านหน้าท้องและคัดไข่ที่สมบูรณ์ 3-4 เซลล์
    3. นำเซลล์อสุจิจากฝ่ายชายและเซลล์ไข่ที่คัดไว้ในอัตราส่วนเซลล์ไข่ต่อเซลล์อสุจิเท่ากับ 1:100,000 ฉีดเข้าไปในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิงที่หน้าท้อง
    4. หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ทราบผลว่าตั้งครรภ์หรือไม่ การผสมเทียมแบบซิฟท์ (ZIFT) ย่อ มาจาก zygote intra-fallopian transfer เป็นวิธีการ ผสมเทียมที่น าเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิมาผสมในจานเพาะเชื้อจนได้เป็นไซโกต แล้วน า ไซโกตฉีดเข้าไป ในท่อนำไข่ ไซโกตจะแบ่งตัวเป็นเอ็มบริโอและเคลื่อนไปฝังตัวที่มดลูก การผสมเทียมแบบกิฟต์และแบบซิฟท์จะมีอัตราการตั้งครรภ์สูงกว่าเด็กหลอดแก้วถึง 2 เท่า ในกรณีที่แม่มีความผิดปกติทางกายหรือจิตใจจนไม่สามารถตั้งท้องเองได้อาจผสมเทียมได้โดยวิธี ฝากเอ็มบริโอให้เจริญเติบโตในมดลูกของหญิงอื่น การให้กำเนิดทารกที่เป็นเพศชายหรือเพศหญิงนั้นขึ้นอยู่กับโครโมโซมเพศเพียงคู่เดียว ถ้า ทารกเป็นเพศชายโครโมโซมจะเป็น XY ถ้าทารกเป็นเพศหญิงโครโมโซมจะเป็น XX เช่น  เด็กหญิงพลอยมีโครโมโซมร่างกาย ดังนี้ โครโมโซมร่างกาย 22 คู่ + โครโมโซมเพศหญิง 1 คู่ สามารถเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ 22 คู่ + XX หรือ 44 อัน + XX 34 อัน
ขอขอบคุณข้อมูล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป