โรคเก๊าท์

อาการของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์ ถือได้ว่าเป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเพศชาย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่ข้ออย่างฉับพลัน รวมถึงยังมีอาการข้อแข็ง และบวม ซึ่งมักจะเป็นที่นิ้วหัวแม่เท้า ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการของโรคเก๊าท์ก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อข้อต่อ เส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ได้

 โรคเก๊าท์ คือ โรคที่มีการตกตะกอนของสารที่ชื่อว่า "กรดยูริค" ตามข้อต่างๆโดยเฉพาะข้อเท้า ข้อเข่า แล้วทำให้เกิดการอักเสบที่กระดูก เช่น กระดูกข้อต่างๆโดยเฉพาะข้อเท้า ทำให้บริเวณนั้น ร้อน บวม แดง เจ็บปวด กรดยูริคในร่างกายของคนเรามาจากไหน ตอบ : ร่างกายของเราได้รับกรดยูริค มาจาก 2 ทาง ได้แก่
1. ประมาณ 20% ได้รับจากอาหารที่มีสารที่ชื่อว่า "พิวรีน" เป็นองค์ประกอบอยู่ ซึ่งร่างกายก็จะสร้างกรดยูริคจาก "พิวรีน" ที่เราทานเข้าไป
2. ประมาณ 80% ร่างกายสร้างกรดยูริคขึ้นมาเอง จากกลไกการสลายเซลล์ หรือ เนื้อเยื่อของร่างกาย แล้วถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดยูริค เช่น ภาวะอดอาหาร ร่างกายก็จะสลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานแล้วมีกรดยูริคเกิดขึ้นในกระบวนการนั้น
อาการของโรคเก๊าท์
     โรคเก๊าท์ในระยะเริ่มแรก คือมีอาการปวดแดงอย่างเฉียบพลัน โดยในช่วงวันแรกจะเป็นช่วงที่ปวดมากที่สุด และไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า จุดที่จะแสดงอาการก่อนส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้แก่นิ้วโป้งเท้า และตรงข้อเท้า และข้อเข่า หลังจากเวลาผ่านไปในวันที่สองอาการปวดก็จะเบาบางลงและหายปวดใน 5 - 7 วันหลังเกิดอาการ โดยสถิติแล้วพบว่า เพศชายมีโอกาสเป็นโรคเก๊าท์มากกว่าเพศหญิง

     อาการที่เด่นชัดของโรคเก๊าท์ คือ โพดากร้า (podagral) ซึ่งจะมีอาการอักเสบของข้อที่นิ้วหัวแม่เท้า ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด รวมถึงสังเกตได้ว่าข้อเท้ามีอาการบวมแดงและร้อน อาการปวดมักจะเริ่มต้นในช่วงกลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดอาจเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง
ถาม : สารพิวรีน คืออะไร?
ตอบ : "พิวรีน" เป็นสารที่พบได้ใน DNA และ RNA (สารรหัสพันธุกรรม) ซึ่งอยู่ในนิวเครียสของ "เซลล์" ทุกๆเซลล์ที่มีโปรตีน ของสิ่งมีชีวิต นั่นหมายความว่า อาหารที่มาจากสิ่งมีชีวิตที่เรารับประทานเข้าไป ถ้าเซลล์มีโปรตีน ย่อมจะมีสารพิวรีนด้วยด้วยเสมอ แต่มีมาก หรือ มีปานกลาง หรือ มีน้อย ขึ้นอยู่กับว่าอาหารชนิดนั้นๆ มีเซลล์(DNA,RNA)มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น
- ไข่ไก่ ไข่เป็ด มีพิวรีนต่ำ เนื่องจากไขแดงมีเซลล์น้อยมาก ไข่แดงมีเซลล์ๆเดียว (จุดเล็กๆตรงที่ยังไม่ผสมกับน้ำเชื้อ)
- ไข่ปลา ที่มีจำนวนไข่แดงจำนวนมากๆ ก็จะมีพิวรีนสูง
- ใบของผักที่โตเต็มที่แล้ว จะประกอบไปด้วยเซลล์ที่คงที่ จึงมีพิวรีนในระดับต่ำ
- ยอดผักต่างๆ หรือ เมล็ดพืชที่กำลังงอก จะประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมากที่กำลังจะเติบโต จึงมีพิวรีนในปริมาณสูง
ถาม : อาหารประเภทใดมีพิวรีนสูงบ้าง?
ตอบ : ขอแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มครับ

กลุ่มที่ 1 อาหารที่มีพิวรีน "สูง" ได้แก่ เครื่องในสัตว์(จะมีสูงมาก) เนื้อสัตว์ปีก ปลาดุก ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน ไข่ปลา น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน กะปิ ชะอม กระถิน สะเดา เห็ด
กลุ่มที่ 2 อาหารที่มีพิวรีน "ปานกลาง" ได้แก่ ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู เนื้อวัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ถั่วลันเตา หน่อไม้ ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม
กลุ่มที่ 3 อาหารที่มีพิวรีน "ต่ำ" ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และผลไม้เกือบทุกชนิด

 สรุปว่า สารพิวรีน จะมีปัญหากับคนที่เป็นโรคเก๊าท์ได้ เพราะจะทำมีภาวะกรดยูริคในเลือดสูง แล้วไปตกตะกอนตามข้อต่อต่างๆ(กระดูก) ทำให้เกิดภาวะข้ออักเสบ(ร้อน,ปวด,บวม,แดง)ได้
ถาม : ใครบ้าง มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะกรดยูริคในเลือดสูง หรือ เสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์?
- ผู้ที่มีปัญหาการทำงานของ "ไต" ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้กรดยูริคไม่ถูกขับออกจากร่างกาย
- ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย(ไม่ค่อยปัสสาวะ)
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์(กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริคเพิ่มขึ้น)
- ผู้ที่น้ำหนักเกิน(อ้วน)
- ผู้ที่เป็นเบาหวาน

ถาม : สำหรับคนทั่วๆไป (ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง) สามารถทานอาหารที่มีพิวรีนสูงได้หรือไม่?
ตอบ : จริงๆแล้ว สารพิวรีน มีประโยชน์ในระดับหนึ่งครับ เพราะร่างกายนำไปสร้างกรดยูริคซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง และถ้ามีกรดยูริคเกินในร่างกายก็จะขับออกทางไต(ปัสสาวะ) คนทั่วๆไปจึงสามารถทานได้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทานมากเกินไปนะครับ

ถาม : สำหรับผู้ที่กรดยูริคในกระแสเลือดสูง หรือ เป็นโรคเก๊าท์อยู่แล้ว ควรปฏิบัติอย่างไร?
- ดูแลสุขภาพ การทำงานของไตให้เป็นปกติ เช่น ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน ,ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ,ไม่ดื่มสุรา หรือ สูบบุหรี่ ทานผักผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่ม "ไฟโตนิวเทรียนท์" สารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่มี "พิวรีน" สูง เช่น ยอดผัก ถั่วต่างๆ เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก น้ำซุปต้มกระดูก ฯลฯ

ถาม : ผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ ทาน "ถั่วเหลือง" ได้หรือไม่?
ตอบ : สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ ควรระมัดระวังการทานอาหารจากถั่วเหลืองในปริมาณที่มากเกินไป

ถาม : คำว่า "มากเกินไป" พิจารณาอย่างไร?
ตอบ : สำหรับผู้ที่เป็นเก๊าท์ เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าทานถั่วเหลืองในปริมาณเท่าไร จึงจะเรียกว่า "มาก" เพราะภาวะการทำงานของ "ไต" ในการขับกรดยูริคของแต่ละคนไม่เท่ากัน หากไตยังทำงานได้เป็นปกติอยู่ ก็อาจทานได้ในปริมาณพอสมควร เพราะไตสามารถขับกรดยูริคออกได้มาก ไม่ค่อยคั้งค้าง แต่ถ้าไตเริ่มเสื่อมมากแล้ว อาจทานถั่วเหลืองไม่ได้เลยก็ได้ เพราะกรดยูริคก็จะคั่งค้างในร่างกายมากและจะทำให้อาการกำเริบได้


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป