ถุงน้ำช็อกโกแลตหรือช็อกโกแลตซีสต์
'ช็อกโกแลตซีสต์' สาวโสดปวดประจำเดือน
ปวดจนสุดทน ประจำเดือนมาทีไร หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลัวก็กลัว ปวดมาก ปวดจนต้องลาหยุดงานทุกเดือน หวังว่านายจ้างจะเข้าใจ สาวที่ทำงานในบริษัท สำนักงานต่างรู้ดี ยิ่งถ้าเป็นสาวโสด ยังไม่แต่งงาน โอกาสที่ปวดประจำเดือนหรือปวดบริเวณท้องน้อย มีมากกว่าผู้หญิงที่มีลูกแล้วหรือเคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว
ศ.นพ.เสวก วีระเกียรติ (สูติ-นรีแพทย์) ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช กล่าวว่า ความเจ็บปวดนี้ มาจากเลือดประจำเดือนของผู้หญิง หากปวดมาก อาจปัสสาวะเป็นเลือด หรือเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ เกิดจากภาวะเลือดประจำเดือนที่จะไหลออกมา แต่มีบางส่วนที่เลือดไหลย้อนกลับ เป็นภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ เพราะเลือดไหลกลับมาตกค้างอยู่บริเวณรังไข่ นานๆ เข้า ก็กลายเป็นเหตุให้เกิดจุดๆ เป็นสีน้ำตาล
สูตินรีแพทย์ได้ทำการวิจัยและตรวจสอบแล้วพบว่า เลือดประจำเดือนที่ตกค้างนี่เป็นต้นเหตุให้ปวด บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย เพราะมีเส้นประสาทใกล้เคียงทำให้ปวดมากขึ้น ตัวเซลล์ที่แตกสลาย ทำให้เกิดการอักเสบ นานๆ ไป เกิดพังผืดมาติดกันทั้งรังไข่ มดลูก ลำไส้ เชื่อมติดกัน
อาการนี้เกิดขึ้นถึง 10% ของผู้หญิง แนวโน้มจะมีมากขึ้น หากมีประจำเดือนอายุ 15 ปี แต่งงานอายุ 19 ปี โอกาสปวดก็น้อย แต่ปัจจุบันผู้หญิงเรียนหนังสือมากขึ้น แต่งงานช้ามาก โอกาสที่จะเกิดจึงมีมาก เพราะเลือดตกค้างอยู่ที่อุ้งเชิงกรานมากขึ้น จะเริ่มปวดประมาณอายุ 18-19 ปี
เมื่อแพทย์ส่องกล้องตรวจภายในดูแล้ว พบจุดๆ ที่ผนังโพรงมดลูก มีสีน้ำตาล เป็นจุดๆ เรียกกันง่ายๆ ว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” น่าจะเป็นต้นเหตุสำคัญให้ผู้หญิงปวดประจำเดือน มีลูกยาก หรือแท้งง่าย เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ หรืออาจจะพัฒนาเป็นโรคอื่นๆ ของผู้หญิงต่อไป
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เกิดจากพังผืดในอุ้งเชิงกรานยึดทำให้เจ็บปวดเวลามีประจำเดือน ถ้าโรคกระจายไปกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ จะมีอาการถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด บางรายอาจมีอาการของลำไส้แปรปรวนได้ คุณผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ จะมีภาวะมีบุตรยากด้วย
การผ่าตัดในปัจจุบัน นิยมใช้การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก บางคนชั่วโมงเดียวก็ขับรถกลับบ้านได้ แต่บางกรณีอาจจะขอให้พักที่โรงพยาบาลสักหนึ่งคืน เพื่อดูอาการอื่นที่อาจแทรกซ้อน แต่น้อยมากที่ต้องให้พักค้างดูอาการ เพราะปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคนี้ สามารถใช้การผ่าตัดผ่านกล้องได้ทั้งหมด
- มีแผลไม่เกิน 1 ซม.
- เจ็บปวดน้อยมาก ระหว่างและหลังการผ่าตัด
- นอนโรงพยาบาลสั้น
- ฟื้นตัวไปทำงานได้เร็ว
ถาม : มีสารอาหารชนิดใดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต หรือไม่?
ตอบ : เนื่องจากถุงน้ำช็อคโกแลตเป็นโรคที่สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และ การมีประจำเดือนของเพศหญิง เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีถุงน้ำช็อกโกแลต หรือ ผู้ที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์แล้ว จึงควรระมัดระวังอาหารหรือสมุนไพร ชนิดที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
-
> อาหารหรือสมุนไพร ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (ในกรณีผู้ที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรระมัดระวัง) ได้แก่
- ถั่วเหลือง / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า (อาจทานเป็นอาหารได้ แต่ก็ไม่ควรทานในปริมาณที่มากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- น้ำมะพร้าว / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่งานวิจัยยังมีไม่มากนัก (จึงไม่ควรทานมากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- ตังกุย / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่งานวิจัยยังมีไม่มากนัก (จึงไม่ควรทานมากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- กวาวเครือ / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ค่อนข้างสูง อาจมีผลต่อสภาวะของโรคที่เป็นอยู่ (จึงไม่ควรทาน)
- ว่านชักมดลูก / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ค่อนข้างสูง อาจมีผลต่อสภาวะของโรคที่เป็นอยู่ (จึงไม่ควรทาน)
-
หมายเหตุ : ยังไม่พบรายงานวิจัยในมนุษย์ ในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันโรคถุงน้ำในรังไข่(ช็อกโกแลตซีสต์) ที่เกี่ยวข้องกับสารอาหารโดยตรง
-
ถาม : ผู้หญิงที่ยังไม่ได้เป็นช็อกโกแลตซีสต์ สามารถทานอาหารหรือสมุนไพรที่ออกฤทธ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ได้หรือไม่?
ตอบ : แบ่งเป็น 2 กรณี
1) กรณี ทานเป็นอาหาร (จะมีความเข้มข้นของสารคล้ายฮอร์โมนอ่อนๆ) เช่น ถั่วเหลือง, น้ำมะพร้าว , ตังกุย
- ควรพิจารณาปริมาณที่จะทานให้พอเหมาะพอดี ไม่มากจนเกินไป (ลองนึกเปรียบเทียมปริมาณกับการทานในลักษณะของอาหารๆทั่วไป) เช่น เต้าหู้ทอด, เต้าหู้หลอด, นมถั่วเหลือง, โปรตีนถั่วเหลือง ,นมถั่วเหลือง เป็นต้น (กรณีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ควรดูปริมาณตามคำแนะนำในฉลาก)
-
2) กรณี ทานเป็นสมุนไพร (จะมีความเข้มข้นของสารคล้ายฮอร์โมนสูงได้) เช่น ราก(เหง้า)กวาวเครือ , ว่านชักมดลูก
- หากจะทาน ไม่ควรทานในปริมาณมาก หรือ ไม่ควรทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ หรือ ควรหยุดการทานเป็นระยะๆ
- ไม่ควรทาน ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
ด้วยความปราถนาดีจาก ปู เปอร์ตีส
ปวดจนสุดทน ประจำเดือนมาทีไร หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลัวก็กลัว ปวดมาก ปวดจนต้องลาหยุดงานทุกเดือน หวังว่านายจ้างจะเข้าใจ สาวที่ทำงานในบริษัท สำนักงานต่างรู้ดี ยิ่งถ้าเป็นสาวโสด ยังไม่แต่งงาน โอกาสที่ปวดประจำเดือนหรือปวดบริเวณท้องน้อย มีมากกว่าผู้หญิงที่มีลูกแล้วหรือเคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว
สูตินรีแพทย์ได้ทำการวิจัยและตรวจสอบแล้วพบว่า เลือดประจำเดือนที่ตกค้างนี่เป็นต้นเหตุให้ปวด บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย เพราะมีเส้นประสาทใกล้เคียงทำให้ปวดมากขึ้น ตัวเซลล์ที่แตกสลาย ทำให้เกิดการอักเสบ นานๆ ไป เกิดพังผืดมาติดกันทั้งรังไข่ มดลูก ลำไส้ เชื่อมติดกัน
อาการนี้เกิดขึ้นถึง 10% ของผู้หญิง แนวโน้มจะมีมากขึ้น หากมีประจำเดือนอายุ 15 ปี แต่งงานอายุ 19 ปี โอกาสปวดก็น้อย แต่ปัจจุบันผู้หญิงเรียนหนังสือมากขึ้น แต่งงานช้ามาก โอกาสที่จะเกิดจึงมีมาก เพราะเลือดตกค้างอยู่ที่อุ้งเชิงกรานมากขึ้น จะเริ่มปวดประมาณอายุ 18-19 ปี
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เกิดจากพังผืดในอุ้งเชิงกรานยึดทำให้เจ็บปวดเวลามีประจำเดือน ถ้าโรคกระจายไปกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ จะมีอาการถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด บางรายอาจมีอาการของลำไส้แปรปรวนได้ คุณผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ จะมีภาวะมีบุตรยากด้วย
การผ่าตัดในปัจจุบัน นิยมใช้การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก บางคนชั่วโมงเดียวก็ขับรถกลับบ้านได้ แต่บางกรณีอาจจะขอให้พักที่โรงพยาบาลสักหนึ่งคืน เพื่อดูอาการอื่นที่อาจแทรกซ้อน แต่น้อยมากที่ต้องให้พักค้างดูอาการ เพราะปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคนี้ สามารถใช้การผ่าตัดผ่านกล้องได้ทั้งหมด
- มีแผลไม่เกิน 1 ซม.
- เจ็บปวดน้อยมาก ระหว่างและหลังการผ่าตัด
- นอนโรงพยาบาลสั้น
- ฟื้นตัวไปทำงานได้เร็ว
ถาม : มีสารอาหารชนิดใดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต หรือไม่?
ตอบ : เนื่องจากถุงน้ำช็อคโกแลตเป็นโรคที่สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และ การมีประจำเดือนของเพศหญิง เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีถุงน้ำช็อกโกแลต หรือ ผู้ที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์แล้ว จึงควรระมัดระวังอาหารหรือสมุนไพร ชนิดที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
-
> อาหารหรือสมุนไพร ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (ในกรณีผู้ที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรระมัดระวัง) ได้แก่
- ถั่วเหลือง / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า (อาจทานเป็นอาหารได้ แต่ก็ไม่ควรทานในปริมาณที่มากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- น้ำมะพร้าว / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่งานวิจัยยังมีไม่มากนัก (จึงไม่ควรทานมากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- ตังกุย / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่งานวิจัยยังมีไม่มากนัก (จึงไม่ควรทานมากเกินไป) เว้นแต่ แพทย์สั่งห้ามทาน ก็ไม่ควรทาน
- กวาวเครือ / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ค่อนข้างสูง อาจมีผลต่อสภาวะของโรคที่เป็นอยู่ (จึงไม่ควรทาน)
- ว่านชักมดลูก / มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ค่อนข้างสูง อาจมีผลต่อสภาวะของโรคที่เป็นอยู่ (จึงไม่ควรทาน)
-
หมายเหตุ : ยังไม่พบรายงานวิจัยในมนุษย์ ในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันโรคถุงน้ำในรังไข่(ช็อกโกแลตซีสต์) ที่เกี่ยวข้องกับสารอาหารโดยตรง
-
ถาม : ผู้หญิงที่ยังไม่ได้เป็นช็อกโกแลตซีสต์ สามารถทานอาหารหรือสมุนไพรที่ออกฤทธ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ได้หรือไม่?
ตอบ : แบ่งเป็น 2 กรณี
1) กรณี ทานเป็นอาหาร (จะมีความเข้มข้นของสารคล้ายฮอร์โมนอ่อนๆ) เช่น ถั่วเหลือง, น้ำมะพร้าว , ตังกุย
- ควรพิจารณาปริมาณที่จะทานให้พอเหมาะพอดี ไม่มากจนเกินไป (ลองนึกเปรียบเทียมปริมาณกับการทานในลักษณะของอาหารๆทั่วไป) เช่น เต้าหู้ทอด, เต้าหู้หลอด, นมถั่วเหลือง, โปรตีนถั่วเหลือง ,นมถั่วเหลือง เป็นต้น (กรณีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ควรดูปริมาณตามคำแนะนำในฉลาก)
-
2) กรณี ทานเป็นสมุนไพร (จะมีความเข้มข้นของสารคล้ายฮอร์โมนสูงได้) เช่น ราก(เหง้า)กวาวเครือ , ว่านชักมดลูก
- หากจะทาน ไม่ควรทานในปริมาณมาก หรือ ไม่ควรทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ หรือ ควรหยุดการทานเป็นระยะๆ
- ไม่ควรทาน ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
ด้วยความปราถนาดีจาก ปู เปอร์ตีส
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น