เบาหวานขึ้นตา

เบาหวานขึ้นตาควรดูแลตนเองอย่างไร?
     เบาหวานเป็นโรคพบบ่อยมากโรคหนึ่ง พบได้ในทุกอายุ แต่โดยทั่วไปมักพบในผู้ใหญ่ เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความผิดปกติได้กับเนื้อเยื่อและอวัยวะ ทุกๆเนื้อเยื่อ และทุกๆอวัยวะของร่างกาย รวมทั้งเนื้อเยื่อของดวงตา โดยเฉพาะจอตา ซึ่งพบเกิดได้บ่อย โดยเมื่อเกิดกับจอตา มักเรียกโดยทั่วไปว่า เบาหวานขึ้นตา หรือ เบาหวานกินตา ซึ่งทางแพทย์เรียกว่า โรค หรือ ภาวะ จอตาเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic retinopathy) ทั้งนี้ เมื่อปล่อยปละละเลย ดูแลไม่ถูกต้อง โรคนี้อาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดถาวรได้ ดังนั้น โรคนี้จึงเป็นเรื่องน่ารู้สำหรับผู้ป่วยเบาหวานทุกคน เพื่อการดูแลตนเอง ป้องกันการเกิดตาบอดถาวร
เบาหวานขึ้นตา เป็นภาวะที่หลอดเลือดฝอยบริเวณเซลล์ประสาทตาเสื่อมสภาพ ทำให้เลือดไปเลี้ยงเซลล์ไม่ดีพอ เซลล์จึงค่อยๆเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

มีการสำรวจในประเทศไทยล่าสุดพบว่า ประชากรที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป เป็นเบาหวานถึง 7% นั่นคือ ขณะนี้มีประชากรไทยมากกว่า 3 ล้านคนเป็นเบาหวาน เป็นที่ทราบกันว่าโรคเบาหวานเป็นโรคถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อีกทั้งการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบันอยู่ในภาวะรีบเร่ง รับประทานอาหารที่เพิ่ม แป้ง น้ำตาล และไขมันมากกว่าอาหารประเภทมีใยอาหาร ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมทำให้พบโรคเบาหวานได้มากขึ้น
ในสมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญ ยาควบคุมเบาหวานยังไม่ดีพอ ผู้ป่วยเบาหวานจึงมีอายุสั้น แต่ปัจจุบันการควบคุมเบาหวานดีขึ้นมาก ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวมากขึ้น จึงมีโอกาสพบโรคหรือภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานมากขึ้น โรคเบาหวานก่อให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดซึ่งมีอยู่ทั่วร่างกาย จึงมีผลต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ ได้แก่ หัวใจ สมอง ไต อันเป็นต้นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ตาก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่เสื่อมจากเบาหวาน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้ตาบอดเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต และเป็นภาระต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม

เบาหวานขึ้นตามีอาการอย่างไร?
อาการที่อาจพบได้จาก จอตาเสื่อมจากเบาหวาน คือ
1 อาจไม่มีอาการอะไรเลยในระยะแรก การมองเห็นปกติ จึงทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจไม่ทำตามคำแนะนำของทั้งจักษุแพทย์ และแพทย์ผู้รักษาเบาหวาน
2 ตามัวลงเล็กน้อย หากโรค ที่จอตา ลุกลามมายังจุดรับภาพที่เรียกว่า มาคูลา(macula) ตาจะมัวลงอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่ามัวตามอายุที่มากขึ้น จึงละเลยไม่มารับการตรวจรักษา
3 อาจมองเห็นภาพบิดเบี้ยว ถ้าโรคก่อให้จอตามีการบวมน้ำ หรือมีการตายของเซลล์จอตาเป็นหย่อมๆ
4 มี ลานสายตา ที่ผิดปกติ อาจเห็นมืดไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยเกิดจากหลอดเลือดจอตาบางเส้นมีการอุดตัน ทำให้เซลล์รับรู้การเห็นบริเวณที่ขาดเลือดไม่ทำงาน ตาจึงมืดเป็นแถบๆ
5 ตามืดลงอย่างฉับพลัน มักเกิดในรายที่มีเลือดออกในน้ำ วุ้นตาอย่างฉับพลัน
การตรวจตาแต่ต้น นอกจากช่วยให้ป้องกันตาบอดได้ ยังมีประโยชน์ที่ทำให้ทราบในเบื้องต้นว่า หลอดเลือดในอวัยวะอื่นก็น่ามีความผิดปกติดั่งที่พบในจอตาด้วยเช่นกัน เพื่อได้รับการตรวจรักษาโรคของอวัยวะอื่นๆแต่เนิ่นๆไปพร้อมๆกันกับโรคเบาหวาน และโรคทางตา การตรวจตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคน ทั้งนี้ มีรายงานพบว่า 2% ของผู้ป่วยเบาหวาน มักสูญเสียสายตาเหตุจากโรคเบาหวาน นอกจากนั้น ยังพบว่า โอกาสที่คนเป็นเบาหวานจะตาบอดมีมากกว่าคนปกติถึง 20 เท่า

ต้นเหตุของภาวะ "เบาหวานขึ้นตา" มาจาก "โรคเบาหวาน" ดังนั้น การดูแลดวงตาของผู้ป่วยโรคเบาหวานก็คือ
1) ควบคุม ไม่ให้โรคเบาหวานมีความรุนแรงมากขึ้น โดยพยายามทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติให้ได้(นานที่สุด) โดยเลี่ยงน้ำตาล ควบคุมแป้ง(ไม่ให้มากเกินไป)
- สารอาหารที่มีบทบาท ได้แก่ ไฟเบอร์ (ทานพร้อมกับอาหารที่มีแป้ง)
- กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีบทบาทควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

2) ดูแลเซลล์ของดวงตา ด้วยสารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดในดวงตา
- สารลูทีน ในพืชผักสีเขียว,เหลือง และ สารโปรแอนโธไซยานิดีน ในพืชผักสีม่วง
- กรดไขมันโอเมก้า-3 DHA

3) ดูแลสุขภาพของหลอดเลือด ด้วยสารอาหารที่มีบทบาทสร้างคอลลาเจน ส่งเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด
ส่วนที่จะไม่ให้กลับมาเป็นอีกนั้น ประเด็นนี้ไม่สามารถรับประกันได้ เพราะมีปัจจัยร่วมมากมายที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ดังนั้นแนะนำให้ดูแลสุขภาพให้รอบด้าน

รักษาโรคเบาหวานขึ้นตาได้อย่างไร?
1 เมื่อเกิดเบาหวานขึ้นตา หรือจอตาเสื่อมจากเบาหวาน มีแนวทางการรักษา คือ
เมื่อเพิ่งเริ่มเป็นโรค ควรควบคุมเบาหวานอย่างเคร่งครัด โดยยังไม่ต้องมีการรักษาทางดวงตา แต่จักษุแพทย์จะนัดตรวจติดตามโรคเป็นระยะๆ เมื่ออาการทางจอตาคงที่ ไม่เลวลง ก็ยังไม่ต้องรับการรักษาทางตาอะไรที่เป็นพิเศษ
2 หากโรคที่จอตาเป็นมากขึ้น การรักษา คือ รักษาด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด โดยเป็นการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามมากขึ้น เป็นการทำลายหลอดเลือดเกิดใหม่ด้วยแสงเลเซอร์ และทำลายจอตาที่ตายเป็นหย่อมๆ (จอตาที่เสียหาย จะเร่งให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่เราไม่ต้องการ) การรักษาด้วยแสงเลเซอร์นี้ อาจต้องทำหลายครั้ง จนกว่าความผิดปกติของจอตาสงบลง และในบางภาวะ เมื่อมีจอตาตรงกลางบวม อาจรักษาด้วยการฉีดยารักษาการบวมเข้าในตาโดยตรง
3 ถ้ามีเลือดออกในน้ำวุ้นตา หรือมีพังผืดดึงจอตาหลุดลอก ต้องรีบรักษาโดยวิธีผ่าตัดน้ำวุ้นตา ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก ผลรักษาอาจไม่แน่นอน หากปล่อยปละละเลยมาถึงขั้นต้องผ่าตัดน้ำวุ้นตา สายตามักจะเสียไปค่อนข้างมากแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป