ข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับ ประจำวัน THAI RDI

หลักการและแนวทางการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับ ประจำวัน
     มาตรการสำคัญในการดำเนินงานปรับปรุงและส่งเสริมให้ประชาชนมีภาวะโภชนาการที่ดี สามารถดำรงสุขภาพอนามัยอย่างสมบูรณ์ คือ การวางแผนจัดการด้านอาหารบริโภค โดยมุ่งให้ประชาชนส่วนรวมของประเทศได้รับอาหารบริโภคประจำวัน ซึ่งประกอบด้วย สารอาหารชนิดต่าง ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

     โดยที่สถานการณ์ปัญหาทางโภชนาการของแต่ละประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ มีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ความต้องการอาหารและโภชนาการ ในระดับบุคคล กลุ่มบุคคล หรือชุมชนจะเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากอิทธิพลของปัจจัยแวดล้อม และองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะ โภชนาการ ดั้งนั้นจึงมีความจำเป็นที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องจัดให้มีแนวทางหรือหลักการในการแนะนำอาหารบริโภคสำหรับประชาชนในประเทศของตน ให้บริโภคอาหารมีคุณค่าสารอาหารชนิดต่างๆ เหมาะสมกับความต้องการด้านโภชนาภารอย่างแท้จริง โดยกำหนด เป็นมาตรฐานทางอาหารและโภชนาการของประเทศ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ให้บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติงานโภชนาการโครงการต่างๆ

     มาตรฐานอาหารที่จัดสร้างขึ้น มีชื่อเรียกเป็นสากลว่า ข้อกำหนดสารอาหารที่ควร ได้รับประจำวัน (Recommended Dietary Allowances; RDA) สำหรับบางประเทศ ได้เรียกชื่อมาตรฐานดังกล่าวแตกต่างไป เช่น เรียกชื่อว่า Dietary Standards, Safe Intake of Nutrients, Recommended Nutrient Intakes หรือ Recommended Dietary Intakes (RDI) มาตรฐานอาหารซึ่งเรียกชื่อต่างๆ กันนี้ ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ตรงกันทั้งสิ้น และกล่าวได้ว่าสอดคล้องตามนิยามของ FAO/WHO 1970 และของคณะกรรมการอาหารและโภชนาการแห่งชาติ Food and Nutrition Board NAS/NRC สหรัฐอเมริกา 1980 ซึ่งระบุความหมายของมาตรฐานอาหาร RDA หรือ RDI ว่าหมายถึงการกำหนดปริมาณของสารอาหารชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องได้รับจากอาหารบริโภคประจำวันอย่างพอเพียงกับความต้องการทางสรีรวิทยาของร่างกายของบุคคลปกติทั่วไปในกลุ่มประชากร เพื่อให้ดำรงสุขภาพอนามัยอย่างสมบูรณ์

     ประเทศไทยได้จัดสร้างมาตรฐานอาหารในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2513 โดยมีจุดมุ่งหมายเบื้องต้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนจัดการบริโภคอาหารของกลุ่มประชากร ให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นตามที่กำหนดไว้ ในระดับพอเพียงกับความต้องการทางโภชนาการประจำวันของบุคคลทั่วไปที่อยู่ในสภาวะปกติ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ปัญหาโรคขาดสารอาหารของประชากรกลุ่มและวัยต่างๆ และได้เรียกชื่อ มาตรฐานนี้ว่า ข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้ประจำวันสำหรับประชาชนไทย (Thailand Recommended Daily Dietary Allowance; RDA) มาตรฐานนี้ได้แพร่หลายและใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานโภชนาการของหน่วยงานต่างๆ จนถึงปัจจุบัน

     เนื่องจากการสร้างมาตรฐานอาหารของแต่ละประเทศจะกำหนดจุดมุ่งหมายสำหรับนำไปใช้ประโยชน์แตกต่างกันไป รายละเอียดของข้อกำหนด RDA เกี่ยวกับปริมาณความต้องการสารอาหารชนิดต่าง ๆ จึงปรับเปลี่ยนได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของ RDA และโดยที่มีปัจจัยหลายประการที่ใช้พิจารณาประกอบการกำหนดปริมาณความต้องการสารอาหารชนิดต่างๆ ที่ร่างกายต้องการได้รับจากอาหารบริโภคประจำวัน หากมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ อัตราการเจริญเติบโต แนวโน้มการเพิ่มของนํ้าหนักตัวตามอายุของประชากรวัยต่างๆ ซึ่งหากได้ใช้ข้อกำหนด RDA ที่มีอยู่เดิมเป็นเกณฑ์พิจารณาระดับที่พอเพียงของการบริโภคอาหารประจำวันของประชากรแล้ว อาจเกิดปัญหาในการวินิจฉัยและการใช้ประโยชน์ของข้อมูลต่อไปได้ดังนั้น เมื่อได้จัดทำมาตรฐานอาหาร RDA ขึ้นแล้ว มีความจำเป็นต้องศึกษาติดตามโดยต่อเนื่องเพื่อทบทวน ความเหมาะสมของมาตรฐานที่กำหนดไว้ และปรับปรุงให้ถูกต้องเป็นระยะๆ ไป โดยเฉพาะเมื่อมีความก้าวหน้าของการศึกษาค้นคว้า หรือมีผลการวิจัยซึ่งแสดงความรู้เพิ่มเติมถึงความสำคัญของสารอาหาร หรือผลต่อสุขภาพและการเกิดโรคต่างๆ โดยชัดเจน แล้วพิจารณา ปรับเปลี่ยนค่าความต้องการสารอาหารประจำวันให้เป็นปริมาณที่เหมาะสมและทันสมัย โดยทั่วไปการปรับปรุงข้อกำหนด RDA ของประเทศต่างๆ ทั้งด้านวัตถุประสงค์และรายละเอียดของสารอาหารได้มีการดำเนินการเป็นประจำทุกรอบ 5 ปีเป็นส่วนมาก

     คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารประจำวันที่ร่างกายควรได้รับของประชาชนไทย จึงได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข ตามวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการมีภาวะโภชนาการที่ดีของคนไทย จึงได้ดำเนินการปรับปรุงข้อกำหนดสารอาหารที่มีอยู่ให้เหมาะสม จากหลักการและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่สมควรเพิ่มเติมใหม่ จัดทำเป็นมาตรฐานอาหารและโภชนาการของประเทศที่เป็นปัจจุบัน และเรียกชื่อว่า ข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวัน สำหรับคนไทย (Recommended Daily Dietary Allowances for Healthy Thais) เละใข้คำย่อว่า RDA

การปรับปรุงข้อกำหนดที่ได้จัดทำขึ้นใหม่ จะช่วยตอบสนองความต้องการใช้ประโยชน์ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีบทบาทและขอบข่ายการดำเนินงานด้านอาหารและโภชนาการอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะขยายเพิ่มมากขึ้นในเวลาต่อไป

แนวทางการจัดทำข้อกำหนดสารอาหาร

     การสร้างมาตรฐานอาหารระดับประเทศ โดยทั่วไปดำเนินการโดยมีคณะกรรมการประกอบด้วย นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ นักวิชาการโภชนศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องกับโภชนาการ ทำหน้าที่ศึกษา รวบรวม วินิจฉัยข้อมูลรายงานทางวิทยาศาสตร์ รายงานผลการศึกษาวิจัยต่าง ๆ โดยมีขั้นตอนสำคัญในการพิจารณาข้อกำหนดชนิด และ ปริมาณสารอาหารที่ควรบริโภค ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาทางโภชนาการที่สำคัญของประชากรทุกกลุ่มอายุ พิจารณาบทบาทหน้าที่ และความสำคัญของสารอาหารชนิดต่าง ๆ ตลอดถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์ในร่างกาย รวมทั้งแหล่งสำคัญของสารอาหารนั้นๆ จากอาหารบริโภคของประชาชนด้วย เพื่อให้พิจารณาระดับความต้องการสารอาหารประจำวันได้ถูกต้อง และปริมาณที่เสนอให้บริโภค มีความเหมาะสม มีระดับความเชื่อมั่นสูง และมีประสิทธิผลในการปฏิบัติตามข้อกำหนด

ตามหลักการข้างต้น คณะกรรมการฯ ได้นำข้อกำหนดสารอาหารซึ่งเป็นมาตรฐานสากล และผ่านการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเป็นประจำตลอดมา รวมทั้งได้ศึกษารายงานผลงานต่าง ๆ ของหน่วยงาน องค์กร และนักวิจัยภายในและภายนอกประเทศเพื่อเป็นแนวทางและเกณฑ์ในการวินิจฉัยชนิดและปริมาณสารอาหารสำหรับเสนอเป็นข้อกำหนด ได้แก่

1. ข้อกำหนดฯ ที่จัดทำสำหรับประเทศที่พัฒนา ได้แก่ ข้อกำหนด RDA ของ สหรัฐอเมริกา โดยคณะกรรมการอาหารและโภชนาการของสหรัฐฯ ที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อ ค.ค.1943 และปรับปรุงแก้ไขเป็นประจำตลอดมาจนถึงฉบับปัจจุบัน เมื่อ ค.ค.1980 รวมทั้งได้นำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงข้อกำหนดปริมาณสารอาหารบริโภคประจำวัน (RDI) ซึ่งจัดทำและเผยแพร่เป็นเอกสารวิชาการของนักโภชนาการผู้ทรงคุณวุฒิมาพิจารณาร่วมด้วย

2. ข้อกำหนดฯ (RDA) ซึ่งได้จัดทำโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมของ FAO/ WHO/UNU สำหรับประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป ที่มิได้มีมาตรฐานทางโภชนาการสำหรับประเทศของตนจะได้นำไปใช้ประโยชน์ ข้อกำหนดดังกล่าวก็ได้มีการปรับปรุงเป็นระยะๆ เช่นกัน

3. ผลการสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย พ.ค.2529 ซึ่งเป็นการสำรวจครั้งล่าสุด กลุ่มประชากรที่สำรวจถือได้ว่าเป็นประชากรตัวแทนของประเทศ จึงใช้ระดับการบริโภคสารอาหารประจำวันที่สำรวจได้เป็นเกณฑ์ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมและพอเพียงของปริมาณสารอาหารในอาหารบริโภคประจำวันของคนไทย

4. รายงานวิจัยซึ่งเป็นผลการศึกษาในประชากรไทย กลุ่ม วัตถุประสงค์ ตลอดจนวิธีการศึกษาที่แตกต่างกันไป ดังที่ได้ระบุไว้เป็นเอกสารอ้างอิงประกอบการพิจารณาจัดทำข้อกำหนดสารอาหาร

คณะกรรมการฯ ได้ทำการปรับปรุงข้อกำหนดสารอาหารที่มีอยู่เดิม และเสนอ ข้อกำหนดสารอาหารอื่นเพิ่มเติม และได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อกำหนด อันเป็นมาตรฐานอาหารและโภชนาการของประเทศอย่างสมบูรณ์

ประเด็นสำคัญของการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันของคนไทย ดังปรากฏรายละเอียดในเอกสารฉบับนี้ ประกอบด้วย

1. การปรับขนาดร่างกายของประชากรอ้างอิง อายุ 20-29 ปี เพศชายและหญิง (reference persons) พร้อมกับกำหนดมาตรฐานน้ำหนักและความสูงจำแนกตามกลุ่มอายุต่าง ๆ คือ กลุ่มทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ รวมทั้งกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมลูก

2. กำหนดจำนวนพลังงานทั้งหมดที่ต้องการได้รับจากอาหารบริโภคประจำวันของบุคคลในกลุ่มอายุต่างๆ กัน ตามขนาดมาตรฐานของร่างกายที่กำหนดไว้

3. กำหนดปริมาณความต้องการสารอาหารหลัก ซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกายด้วยคือ สารโปรตีน และกำหนดปริมาณสารอาหารอื่นที่จำเป็นต้องได้รับจากอาหารบริโภคประจำวัน โดยครบถ้วน ได้แก่ วิตามินที่ละลายในไขมัน 3 ชนิด คือ วิตามินเอ ดี อี วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ 7 ชนิด ได้แก่ วิตามิน บี1 บี2 ไนอาซิน บี6 โฟลาซิน บี12 และเกลือแร่ 6 ชนิด ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน

4. เสนอแนะรายการบริโภควิตามินและเกลือแร่บางชนิดที่สมควรได้รับในปริมาณเหมาะสม และไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเพิ่มเติมอีกรวม 10 ชนิดได้แก่ วิตามิน 4 ชนิด คือ วิตามินเค ไบโอติน กรดแพนโทเธนิก คาร์นิทีน และเกลือแร่ 7 ชนิด คือ ทองแดง ฟลูออไรด์ โครเมียม ซิลีเนิยม โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์

ข้อกำหนดที่ได้พิจารณาแล้ว ได้เสนอแยกเป็น 3 ตาราง พร้อมคำอธิบายประกอบ เพื่อความเข้าใจและง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์

สำหรับรายละเอียดผลการศึกษาวิเคราะห์เอกสารรายงานตลอดจนเหตุผลและหลักการต่างๆ ในการพิจารณาข้อกำหนดทั้งสิ้น ได้ปรากฏในเอกสารรายงานของคณะกรรมการ จัดทำข้อกำหนดสารอาหารฯ และเสนอเป็นเอกสารประกอบการประชุมแห่งชาติ เรื่อง ข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย เมื่อวันที่ 19-20 มกราคม 2532 ณ โรงแรมรอแยล กรุงเทพฯ ซึ่งผู้สนใจจะศึกษาได้จากเอกสารดังกล่าว

เพื่อให้ตรงตามความมุ่งหมายของการจัดสร้างข้อกำหนดปริมาณสารอาหารที่คนไทยควรได้รับจากอาหารบริโภคประจำวัน เพื่อดำรงสุขภาพอนามัยอย่างสมบูรณ์คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาจัดทำแนวทางการบริโภคอาหารของคนไทย (dietary guidelines) เพื่อสนับสนุนให้บุคคลทั่วไปสามารถนำข้อกำหนดไปปฎิบัติได้โดยง่าย โดยตระหนักถึงการเสี่ยงภัยต่อการเจ็บป่วยเนื่องจากบริโภคอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณสารอาหารไม่เหมาะสม แล้วปรับปรุงพฤติกรรมและนิสัยการบริโภคอาหารของตนตามแนวทางการบริโภคที่เสนอแนะเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน  ในปริมาณเหมาะสม กับความต้องการของร่างกาย สามารถควบคุมป้องกันการเป็นโรคที่มีสาเหตุจากความ บกพร่องด้านโภชนาการและดำรงสุขภาพอนามัยได้อย่างสมบูรณ์

แนวทางการประยุกต์ใช้ข้อกำหนด RDA

การจัดทำข้อกำหนด RDA มีจุดมุ่งหมายในเบื้องต้นสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้มีบทบาท รับผิดชอบงานโภชนาการได้ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน เพื่อให้อาหารบริโภคของประชาชนมีคุณภาพทางโภชนาการ และประชาชนเป้าหมายได้รับผลดีตามวัตถุประสงค์

ในทางปฎิบัติ ได้มีผู้สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชนนำข้อกำหนด RDA ไปใช้เป็นมาตรฐานของการดำเนินงานในหลายระดับ เช่น เพื่อการวางแผน กำหนดนโยบาย และมาตรการดำเนินงานอาหารและโภชนาการ การผลิตและพัฒนาอาหาร อุตสาหกรรม อาหาร การประเมินภาวะโภชนาการและคุณภาพอาหาร ตลอดจนเป็นแนวทางการให้โภชนศึกษาและเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน

แม้จะมีความเป็นไปได้ในการขยายขอบข่ายการนำข้อกำหนด RDA ไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางดังกล่าว แต่ผู้ใช้ควรตระหนักถึงข้อจำกัดบางประการของข้อกำหนด RDA ตามที่ได้จัดทำขึ้น โดยเฉพาะแนวทางที่เหมาะสมและเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ เพื่อ ป้องกันการใช้ผิด (misuse) รวมทั้งป้องกันการเกิดปัญหาบางประการอันเนื่องจากการนำผลการใช้ข้อกำหนด RDA ไปดำเนินงานต่อไป

ประเด็นสำคัญของข้อกำหนด RDA ที่ควรได้รับความสนใจ นำไปพิจารณา ประกอบการประยุกต์ใช้ ได้แก่

กลุ่มเป้าหมาย

ข้อกำหนด RDA เป็นข้อกำหนดความต้องการสารอาหารที่ควรได้รับเป็นประจำวันสำหรับบุคคลที่อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วย เนื่องจากภาวะเจ็บไข้ ย่อมทำให้ความต้องการสารอาหารของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นบุคคลที่ต้องการดูแล การบริโภคอาหารเป็นพิเศษ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด ผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ หรือ โรคเรื้อรังใดๆ ย่อมไม่เหมาะสมที่จะบริโภคอาหาร ซึ่งมีคุณค่าและปริมาณสารอาหารตามข้อกำหนด RDA โดยมิได้พิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความจำเป็นตามสภาวะของร่างกาย

การกำหนดชนิดสารอาหาร

ในการจัดทำข้อกำหนด RDA ไม่ได้พิจารณาระบุสารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกายไว้โดยครบถ้วนทุกชนิด โดยเฉพาะปริมาณความต้องการน้ำ คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันที่จำเป็น หรือเกลือแร่ (trace elements) หลายชนิด ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่มีรายละเอียด ข้อมูลเพื่อกำหนดปริมาณความต้องการที่แน่ชัดของร่างกาย หรืออาจไม่มีความจำเป็น ต้องระบุความต้องการให้บริโภคจากอาหารเป็นประจำวัน

ตามปกติแบบแผนการบริโภคอาหารของแต่ละบุคคล ย่อมประกอบด้วยการบริโภคอาหารหลายประเภท และมีลักษณะเป็นอาหารผสม (mixed diet) ในลักษณะเช่นนี้ การเลือกบริโภคอาหารชนิดต่างๆ ให้ได้รับสารอาหารทั้งมีปริมาณพอเพียงและครบถ้วนตามข้อกำหนด RDA แล้ว ย่อมได้รับสารอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มิได้กำหนดไว้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในเวลาเดียวกันด้วย

ดังนั้น แนวทางการจัดการอาหารบริโภคตามข้อกำหนด RDA ย่อมต้องพิจารณาเลือกบริโภคอาหารโดยคำนึงถึงชนิดอาหารที่เป็นแหล่งให้สารอาหารประเภทอื่น นอกเหนือจากสารอาหารประเภทที่ระบุความต้องการบริโภคประจำวันไว้แล้วด้วย และจำเป็นต้องเลือกบริโภคอาหารหลายชนิด นอกจากนี้ เพื่อให้มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามข้อกำหนด RDA ควรพิจารณาถึงคุณลักษณะอื่น ๆ ของชนิดอาหารที่จะเลือกบริโภคอีกด้วย เช่น ลักษณะอาหาร วิธีการปรุงประกอบ รสนิยม ความสอดคล้องกับเศรษฐกิจสังคมของผู้บริโภค ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการยอมรับอาหารของบุคคลผู้บริโภค อันเป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญต่อการที่บุคคลจะได้รับสารอาหารตามความต้องการของร่างกาย

การประเมินคุณภาพของอาหาร (nutrition quality of a diet)

ตามกลวิธีและมาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริมภาวะโภชนาการ จำเป็นต้องพิจารณาเลือกชนิดอาหารที่เหมาะสมสำหรับส่งเสริมให้บริโภค ข้อกำหนด RDA ได้ใช้เป็นแนวทางวินิจฉัยคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร (indices of nutrition quality) โดยการเปรียบเทียบปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารแต่ละชนิด (nutrient content of a given food) เป็นสัดส่วนร้อยละของปริมาณสารอาหารนั้นตามข้อกำหนด RDA (percent of RDA) จากการบริโภคอาหารแต่ละประเภท ในจำนวนอาหารที่เท่ากัน หรือในจำนวนพลังงานทั้งหมดของอาหาร (nutrient content per unit of energy)

ดังนั้น ขั้นตอนแรกที่สำคัญในการใช้ข้อกำหนด RDA ประเมินคุณภาพอาหารบริโภค จำต้องทราบถึงปริมาณและชนิดของสารอาหารแต่ละชนิด อาจใช้ตารางคุณค่าอาหาร (food composition table) ซึ่งแสดงปริมาณสารอาหารชนิดต่างๆ ต่อจำนวนอาหาร คิดเป็นนํ้าหนักของอาหารหรือส่วนของอาหาร และต้องศึกษาปริมาณการบริโภคอาหารนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่ง เช่น ในรอบ 24 ชม.เมื่อคำนวณเป็นปริมาณสารอาหารทั้งหมด ที่ได้รับจากอาหารบริโภคแล้ว จึงเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนกับความต้องการสารอาหารที่กำหนดไว้ใน RDA สำหรับบุคคลนั้น

การประเมินคุณภาพอาหาร ย่อมใช้ข้อกำหนด RDA เป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกอาหารอย่างเหมาะสมได้ โดยเลือกอาหารประเภทที่ให้ปริมาณสารอาหารในสัดส่วนสูง หรือใกล้เคียงกับปริมาณตามข้อกำหนด RDA มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในการใช้ความเข้มข้นของสารอาหารในอาหารแต่ละชนิดเป็นเกณฑ์เลือกชนิดอาหารบริโภคนั้น อาจมีปัญหาบางประการที่เป็นข้อจำกัดของการปฎิบัติเกิดขึ้นได้ ซึ่งควรได้นำไปพิจารณาปรับปรุงการบริโภคอาหารให้ได้คุณค่าตามที่กำหนดไว้อย่างเเท้จริง ปัญหาที่ควรระมัดระวัง ได้แก่

1. อาหารหลายชนิดที่เลือกมาบริโภค แม้จะมีคุณค่าสารอาหารมากก็ตาม แต่เมื่ออยู่ในสภาวะอาหารสำหรับบริโภคนั้น อาจเป็นปริมาณอาหารที่มากเกินกว่าบุคคลหนึ่ง จะสามารกบริโภคได้หมด ดังนั้นจะไม่ได้รับสารอาหารเต็มตามจำนวนที่ควรได้รับตามที่กำหนดไว้ จำเป็นต้องปรับปริมาณหรือวิธีการบริโภคให้มีความเป็นไปได้จริง

2. ในกรณีที่บุคคลต้องจำกัดพลังงานที่ควรได้รับจากอาหารบริโภคประจำวัน การเลือกชนิดอาหารที่มีความเข้มข้นของสารอาหารตามหน่วยพลังงานของอาหารจะต้องระมัดระวังให้ได้รับปริมาณสารอาหารชนิดต่าง ๆ อย่างครบถ้วนตามข้อกำหนด RDA เนื่องจาก ปริมาณความต้องการสารอาหารของร่างกายจะไม่ลดน้อยตามจำนวนของพลังงานที่ได้รับจากอาหารทั้งหมด

การประเมินภาวะโภชนาการโดยข้อกำหนด RDA

ปริมาณสารอาหารตามข้อกำหนด RDA ไม่ได้พิจารณากำหนดขึ้นเป็นความต้องการอาหารของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ได้กำหนดให้เป็นปริมาณที่พอเพียงให้บุคคลในกลุ่มประชากรได้มีภาวะโภชนาการที่เหมาะสม (optimum nutrition) เนื่องจากมีความแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างบุคคล ทั้งในด้านโครงสร้าง ขนาดร่างกาย ตลอดจนลักษณะอื่นๆ ตามชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นตัวกำหนดของแต่ละบุคคล เป็นผลให้ความต้องการสารอาหารประจำวันของบุคคลในกลุ่มมีความปรวนแปรแตกต่างกันมาก ดังนั้นตามข้อกำหนด RDA จึงได้กำหนดปริมาณสารอาหารต่างๆ ไว้สูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยความต้องการสารอาหารประจำวันของบุคคลเป็นส่วนมาก เป็นการเพิ่มปริมาณสารอาหารเพื่อประกันความพอเพียง (margin of safety) ให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นทุกชนิด ยกเว้นการกำหนดปริมาณความต้องการ พลังงานจากอาหารบริโภคทั้งหมด ซึ่งจะกำหนดให้อยู่ในระดับพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย โดยให้มีความแตกต่างของความต้องการระหว่างบุคคลในกลุ่มในช่วงน้อยกว่า สารอาหารชนิดอื่น ๆ (narrow limit of requirements) เพื่อป้องกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงนํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากร

ประเด็นการกำหนดระดับความต้องการสารอาหารดังกล่าวข้างต้น มีความสำคัญ ต่อการแปลผลการประเมินภาวะอาหารและโภชนาการของบุคคลในชุมชนในระดับต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง

การนำข้อกำหนด RDA เป็นเกณฑ์วินิจฉัยในระดับบุคคลนั้นยังไม่สามารถกำหนด ได้แน่ชัดว่าควรได้รับสารอาหาร เมื่อเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนร้อยละของปริมาณตาม RDA ในระดับใด จึงจะตัดสินได้ว่าพอเพียง (adequate intake) หรือในระดับใดจะยอมรับว่าเป็นปริมาณที่มากพอควร (acceptable intake) หรือน้อยเกินไป (low intake)

บุคคลหนึ่งในกลุ่มประชากรอาจมีค่าเฉลี่ยความต้องการสารอาหารตํ่ากว่าข้อกำหนด RDA ได้ โดยไม่จำเป็นต้องปรากฏอาการแสดงของการขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ หากบุคคลใดได้บริโภคอาหารประจำวันซึ่งมีปริมาณสารอาหารน้อยกว่าปริมาณตามข้อกำหนด RDA ของบุคคลวัยนั้น จึงมิได้แสดงว่าบุคคลนั้นอยู่ในภาวะขาดสารอาหารเสมอไป เพียงแต่แสดงให้ทราบว่าบุคคลนั้นบริโภคอาหารประจำวันได้ปริมาณสารอาหารน้อยกว่าระดับที่ควรได้รับตามข้อกำหนด RDA ซึ่งหากคงบริโภคอาหารในลักษณะนี้ตลอดไป ย่อมเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารบริโภคประจำวัน และจะเสี่ยงมากขึ้นจนถึงระดับที่เป็นอันตราย คือมีการขาดอาหารอย่างรุนแรงเกิดขึ้น หากมิได้ปรับปรุงแก้ไขการบริโภคอาหารประจำวันของตน

ในกรณีการประเมินภาวะอาหารบริโภคระดับชุมชน จากผลการสำรวจภาวะโภชนาการ ซึ่งเป็นการสำรวจระยะสั้น การใช้ข้อกำหนด RDA เป็นเกณฑ์พิจารณาตัดสินปริมาณ การบริโภคสารอาหารจากอาหารบริโภคประจำวันว่าพอเพียงหรือไม่นั้น ต้องตระหนักถึงปัญหาความแปรปรวนของอาหารบริโภคตามฤดูกาล ตลอดจนการปรับสภาวะความต้องการอาหารของบุคคลต่อภาวะการได้รับอาหารเป็นจำนวนน้อย (low intake) เป็นเวลานาน ที่อาจเกิดขึ้นได้ และการสะสมสารอาหารบางชนิดในร่างกายซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในช่วงทีไม่ได้รับจากอาหารประจำวันด้วย นั่นก็คือเมื่อมีการวินิจฉัยการได้รับสารอาหารจากอาหารบริโภคประจำวัน โดยการเปรียบเทียบกับปริมาณตามข้อกำหนด RDA แล้ว การพิจารณาจากข้อมูลการบริโภคอาหาร (food intake data) เพียงด้านเดียวยังไม่ชัดเจน ควรนำผลการประเมินภาวะโภชนาการโดยตรงด้วยวิธีการอื่น เช่น การตรวจระดับสารอาหารในร่างกาย การตรวจร่างกายทางด้านการแพทย์ และการวัดขนาดร่างกาย ฯลฯ ตลอดจนแบบแผนและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของบุคคลมาประกอบการวินิจฉัยด้วย

อย่างไรก็ตาม การใช้ข้อกำหนด RDA เพื่อประเมินผลการสำรวจอาหารบริโภคในชุมชน (food consumption survey) นั้น หากปรากฏว่ามีประชากรกลุ่มอายุเพศใด มีระดับการบริโภคอาหารประจำวันได้ค่าเฉลี่ยปริมาณสารอาหารบางชนิดตํ่ากว่าข้อกำหนด RDA ก็วินิจฉัยได้ว่า ในชุมชนนั้นมีผู้อยู่ในภาวะเสี่ยงทางโภชนาการ และหากมีประชากรที่ได้รับสารอาหารตํ่ากว่าความต้องการที่ควรได้รับเป็นสัดส่วนสูงมาก ย่อมบ่งชี้ว่าชุมชนนั้นมีภาวะเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นต่อการเกิดโรคขาดสารอาหารในกลุ่มประชากร นอกจากนี้เมื่อพิจารณาร่วมกับผลการประเมินภาวะโภชนาการด้านอื่นๆ แล้ว การประเมินผลการบริโภคอาหารประจำวันนี้ อาจช่วยจำแนกประเด็นสาเหตุของการขาดสารอาหารของกลุ่มประชากรได้แน่ชัดยิ่งขึ้น

โดยทั่วไปเมื่อใช้เกณฑ์ตามข้อกำหนด RDA เพื่อวินิจฉัยว่าภาวะโภชนาการของประชากรกลุ่มใดก็ตาม หากค่าเฉลี่ยปริมาณสารอาหารจากอาหารประจำวันเทียบได้กับระดับ 2 ใน 3 ของปริมาณตามข้อกำหนด RDA ก็อาจถือได้ว่าประชากรในชุมชนนั้น ได้บริโภคอาหารประจำวันที่มีคุณค่าสารอาหารพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย และมีภาวะโภชนาการดี (good nutrition status) หากได้รับในปริมาณน้อยกว่า ก็อาจพิจารณาว่าประชากรกลุ่มนั้นได้รับสารอาหารไม่เหมาะสมและมีภาวะโภชนาการไม่ดี (poor nutrition status)

การศึกษาโดย Guthrie 1985 ในสหรัฐอเมริกาได้ประเมินจากผลการสำรวจอาหารบริโภคประจำวันของประชาชน พบว่าเมื่อค่าเฉลี่ยของปริมาณสารอาหารจากการบริโภคอาหารประจำวันเทียบได้อยู่ในระดับร้อยละ 100 ของ RDA แล้ว ร้อยละ 97 ของประชากรจะมีภาวะอาหารบริโภคอย่างพอเพียง (adequate intake) ส่วนค่าเฉลี่ยปริมาณสารอาหารที่เทียบอยู่ในระดับร้อยละ 90 ของ RDA นั้น มีเพียงร้อยละ 60 ของประชากรที่ได้รับสารอาหารบริโภคอย่างพอเพียง นอกจากนี้ การบริโภคอาหารที่มีปริมาณสารอาหารในระดับตํ่ากว่าร้อยละ 77 ของ RDA ประชากรจำนวนกึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด ได้รับอาหารบริโภคประจำวันที่มีคุณค่าสารอาหารไม่พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย

ตามหลักการและเหตุผลข้างต้น เมื่อนำข้อกำหนด RDA ไปใช้เป็นแนวทางจัดอาหารบริโภคของประชาชนนั้น มิใช่จะเป็นหลักประกันได้ว่าประชากรทั้งปวงจะมีภาวะโภชนาการได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากในทางปฎิบัติจริงนับเป็นเรื่องยาก เพราะการดำเนินการต้องสัมพันธ์กับปัจจัยต่างๆ เช่น ทรัพยากรหรือสภาพแวดล้อมของสังคมและชุมชน อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามข้อกำหนด RDA อาจกล่าวได้ว่าประชากรส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมดจะได้บริโภคอาหารซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสม (optimum nutrition) และจะยังคงมีประชากรบางส่วนเป็นส่วนน้อยที่อาจมีภาวะโภชนาการไม่ดี เนื่องจากยังได้รับสารอาหารจากอาหารบริโภคประจำวันไม่พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย

การประยุกต์ใช้ข้อกำหนด RDA เพื่อการวางแผนและมาตรการด้านอาหาร

การประเมินความพอเพียงของอาหารที่มีอยู่ภายในประเทศสำหรับการบริโภคของประชากรในรอบปี (food supply of population group) เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยข้อกำหนด RDA เป็นแนวทางประเมิน โดยพิจารณาจากข้อมูลที่สำคัญ 2 ประเภท คือจากรายการตารางสมดุลย์อาหารของประเทศ (food balance sheet) ซึ่งประมาณได้ว่าค่าเฉลี่ยจำนวนอาหารทุกประเภทที่มีไว้ใช้เพื่อการบริโภคนั้น ใน 1 วัน ประชาชนจะได้รับคุณค่าสารอาหารเป็นปริมาณเท่าใด ขณะเดียวกันข้อมูลด้านประชากร โดยเฉพาะการคาดคะเนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากร รวมทั้งแนวโน้มของการผลิตอาหารและการกระจายอาหารของประเทศ จะช่วยในการประมาณความต้องการได้รับสารอาหารประจำวันของประชากรเมื่อใช้ความต้องการสารอาหารตามข้อกำหนด RDA เป็นเกณฑ์พิจารณา เมื่อเปรียบเทียบความต้องการได้รับสารอาหารต่อวันสำหรับประชากรกับปริมาณสารอาหารที่ประชากร จะได้รับอาหารบริโภคที่มีอยู่ จะสามารถวินิจฉัยสภานการณ์ได้ว่าประชาชนในประเทศมีอาหารพอเพียงกับการบริโภค และมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมเพียงใด และอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดปัญหาโภชนาการของกลุ่มประชากรได้ด้วย

ทั้งนี้ การนำข้อกำหนด RDA ไปใช้ในการประมาณความต้องการสารอาหารของประชากร รวมทั้งการประมาณถึงจำนวนสารอาหารที่ประชากรได้รับจากอาหารบริโภคนั้น ต้องมีการศึกษาโดยละเอียดถึงคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารแต่ละประเภท โดยการวิเคราะห์อาหารและการจัดทำตารางคุณค่าอาหาร (food composition table) ซึ่งเป็นมาตรฐานของประเทศ รวมทั้งมีการศึกษา สำรวจอาหารบริโภคประจำวันของประชากร (food consumption survey) เพื่อการประยุกต์ใช้ข้อกำหนด RDA ในการดำเนินการ อย่างได้ผลต่อไป

จากผลการประเมินดังกล่าว อาจใช้เป็นแนวทางการวางแผนจัดการอาหารของประชาชนในประเทศ อาทิ โครงการความมั่นคงทางอาหารของประเทศ (food security program) การวางแผนโครงการให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร (food assistance program) ตลอดจนโครงการบริการสุขภาพและสวัสดิการ (health and welfare program)

การกำหนดมาตรการควบคุมคุณภาพอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร (Food Regulation)

การปรับปรุงคุณภาพอาหารโดยการเสริมคุณค่าสารอาหารบางชนิด (food sup­plementation and fortification) ตลอดจนการผลิตอาหารและการพัฒนาอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบริโภค จัดเป็นกลวิธีและมาตรการสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของประชาชน

ข้อกำหนด RDA ได้นำมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ทั้งแก่ผู้ผลิต ผู้บริโภค รวมทั้งผู้มีบทบาทรับผิดชอบการควบคุมคุณภาพอาหารและการคุ้มครองผู้บริโภค โดยใช้เป็นแนวทางพิจารณาถึงชนิดอาหาร และปริมาณที่ควรใช้ในระดับที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ (useful) ปลอดภัย และไม่มากจนเป็นอันตรายป้องกันการเติมสารอาหารในอาหารหรือ ผลิตภัณฑ์อาหารโดยไม่จำเป็น หรือไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าแก่ผู้บริโภค

การกำหนดมาตรฐานคุณภาพอาหารเพื่อการควบคุม (regulatory standard) คือการกำหนดชนิดและปริมาณสารอาหารที่จำเป็นต้องมีในส่วนประกอบอาหารนั้นตามจำนวนการบริโภคอาหารต่อมื้อหรือต่อวัน และผู้ผลิตต้องแสดงเป็นรายละเอียดในฉลากอาหาร (food label) โดยแสดงปริมาณสารอาหารเป็นสัดส่วนร้อยละของปริมาณอาหารนั้นตามข้อกำหนด RDA (percent of RDA)

ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารของอาหารแต่ละชนิดได้ และทราบถึงชนิดอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นแหล่งที่ดี ให้สารอาหารที่จำเป็น หรือต้องการบริโภค และช่วยการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม

การเสริมคุณค่าสารอาหารบางชนิดในอาหารบริโภค เพื่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาการขาดสารอาหารในกลุ่มประชากร หรือเพื่อให้อาหารบริโภคมีคุณภาพทางโภชนาการเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยทั่วไป เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาเลือกชนิดสารอาหารสำหรับเสริม เพิ่มเติมในอาหาร จะเน้นการเสริมสารอาหารเฉพาะประเภทที่กลุ่มประชากรส่วนใหญ่ได้รับจากอาหารบริโภคในระดับตํ่ากว่าปริมาณตามข้อกำหนด RDA อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และปริมาณที่ควรเสริมเพิ่มเติมในอาหารจะพิจารณาตามข้อกำหน่ด RDA ให้เป็นปริมาณในระดับที่เชื่อมั่นว่าจะบังเกิดผลดีต่อภาวะโภชนาการของผู้บริโภค โดยอาจกำหนดให้เสริมสารอาหารที่จำเป็นนั้นในปริมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของ RDA และ ไม่เกินร้อยละ 150 ของ RDAของสารอาหารนั้นๆ เป็นต้น

การปรับปรุงส่วนประภอบของอาหารบางชนิด เพื่อทดแทนปริมาณที่สูญเสียไปในกรรมวิธีการผลิต หรือการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร โดยการจัดทำสูตรอาหาร หรือใช้สารสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบอาหาร เพื่อใช้ทดแทนสารที่มีในธรรมชาติ หรือเพื่อผลิตอาหารชนิดใหม่ใช้บริโภคแทนอาหารพื้นบ้านที่มีอยู่เหล่านี้ แม้จะมีการควบคุมคุณภาพในด้านการผลิตด้วยกรรมวิธีที่ดีและสามารถป้องกันหรือทำลายสารพิษในอาหารได้ก็ตาม แต่อาจมีปัญหาในด้านคุณภาพทางโภชนาการไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิผลต่อร่างกาย จำเป็นต้องนำข้อกำหนด RDA มาปรับเป็นมาตรฐานของอาหาร และผลิตภัณฑ์ อาหาร โดยคำนึงถึงประชากรเป้าหมายผู้บริโภคให้ได้รับสารอาหารโดยเฉพาะสารอาหารหลัก (major nutrients) ตามความเหมาะสมอย่างครบถ้วนและพอเพียง และกำหนดมาตรฐานของฉลากแสดงคุณค่าทางโภชนาการ (nutrition labelling) สำหรับอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะอย่างขึ้น เช่น มาตรฐานคุณภาพอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารทารก และการแสดงฉลากอาหารทารก มาตรฐานอาหารเฉพาะโรคเพื่อโภชนบำบัดมาตรฐาน อาหารสำเร็จรูป อาหารที่เป็นเครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส ฯลฯ การแสดงฉลาก และการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว นอกจากจะเป็นมาตรการในการควบคุมการผลิต การจำหน่าย การตรวจสอบ วินิจฉัยคุณภาพแล้ว ยังใช้เป็นแนวทางการให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้บริโภคให้สามารถศึกษาพิจารณาเลือกใช้อาหารโดยถูกต้องด้วย

การประยุกต์ใช้ข้อกำหุนด RDA เป็นแนวทางการให้โภชนศึกษา

การกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวัน ประกอบด้วยหลักการและรายละเอียดของข้อมูล ที่เป็นแหล่งประโยชน์สำหรับการให้โภชนศึกษาและการเผยแพร่ความรู้ เพื่อให้ประชาชนมีภาวะโภชนาการที่ดี แต่การประยุกต์ใช้จำเป็นต้องนำข้อกำหนด RDA มาเสนอแนะในรูปแบบที่เอื้อต่อการนำไปปฏิบัติ โดยการจัดทำแนวทางการบริโภคอาหาร อันเป็นวิธีการช่วยให้ประชาชนสามารถเลือกอาหารที่เหมาะสมสำหรับบริโภคให้ได้รับประโยชน์ตามความมุ่งหมาย และเป็นไปตามแบบแผนการบริโภคในสภาพที่เป็นจริงของการดำรงชีวิต รวมทั้งด้านทรัพยากรอาหารและการใช้จ่ายในการบริโภคอาหารประจำวัน

แนวทางปฎิบัติที่ได้มีการจัดทำโดยทั่วไป คือ

การจัดอาหารเป็นหมวดหมู่ (food group) ตามคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารนั้น โดยจำแนกอาหารชนิดที่มีส่วนประกอบสารอาหารในลักษณะเช่นเดียวกันไว้เป็นอาหารหมวดหนึ่ง และเสนอแนะปริมาณของอาหารในหมวดอาหารนั้น สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้อยู่ในสภาวะต่างๆ ควรจะบริโภคใน 1 วัน โดยจะได้รับสารอาหารเป็นจำนวนพอเพียงกับความต้องการ

ขั้นตอนที่ง่ายต่อการปฏิบัติ ในการเลือกบริโภคอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ คือ การจัดทำอาหารหลัก (basic diet) ได้แก่ การกำหนดรูปแบบการบริโภคอาหารประจำวันของบุคคล โดยต้องเลือกบริโภคอาหารจากหมวดอาหารทุกหมวดในจำนวนไม่น้อยกว่า ที่กำหนดให้เป็นประจำวัน ทั้งนี้ ได้ประมาณการไว้ว่า บุคคลนั้นจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างพอเพียงในระดับหนึ่ง และจะได้รับสารอาหารเพิ่มเติม โดยไม่จำกัดชนิด และปริมาณจากการบริโภคอาหารต่างๆ ตามความพอใจของผู้บริโภค

เนื่องจากการบริโภคอาหารของบุคคลอยู่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญหลายประการ เช่น การมีสิทธิที่จะเลือก และมีความหลากหลายในรูปแบบและวิธีการบริโภค จึงอาจจัดทำแผนการบริโภคอาหาร (food plan) สำหรับการดำเนินงานโครงการโภชนคึกษา ซึ่งจะเสนอแนะวิธีการเลือกอาหารบริโภคประจำวัน จากอาหารหมวดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ โดยผู้บริโภคมีโอกาสเลือกชนิดอาหาร และนำไปกำหนดรูปแบบการบริโภคอาหารของตนเองหรือครอบครัว หรือจัดการบริโภคของกลุ่มบุคคลใดๆ ได้อย่างเหมาะสมต่อไป เช่น แผนการจัดอาหารบริโภคประจำวันสำหรับครอบครัวในราคาประหยัด วิธีการเลือกอาหารบริโภค เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารบางชนิด หรือแผนการจัดอาหารบริโภคสำหรับผู้ใช้แรงงาน ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องมีการคึกษารวบรวมรายละเอียดในด้านแบบแผนบริโภคนิสัยและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารของบุคคลผู้เป็นกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนมีข้อมูล รายละเอียดของแหล่งอาหาร ราคาอาหาร และการใช้จ่ายในระดับบุคคลหรือครอบครัว เพื่อให้การเสนอแผนการบริโภคอาหารมีความสอดคล้องและเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป