'คนไทย'ร้อยละ 75 บริโภค'ผัก-ผลไม้' ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

http://edcpirote4.blogspot.com
"กินผักผลไม้ปลอดภัย 400 กรัม เพื่อสุขภาพ" 
องค์การอนามัยโลก และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ กำหนดเกณฑ์การบริโภคผักผลไม้ปริมาณที่เพ๋ยงพอของประชาชนอยู่ที่ 400 กรัมต่อวัน เพึ่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น น้ำหนักเกิน โรคมะเร็งและหลอดเลือด

ซึ่งเป็นการลดภาระการรักษาพยาบาลของประเทศ การประชุมทางวิชาการและนิทรรศการ "กินผักผลไม้ปลอดภัย 400 กรัม เพื่อสุขภาพ" เพึ่อเสนอ ความรู้ทางวิชาการ ทั้งด้านการผลิต ความปลอดภัยและคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ ในการบริโภคผักผลไม้เพื่อสุขภาวะที่ดี
" สารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (อังกฤษ: Phytochemical หรือ Phytonutrients) หมายถึง สารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่พบเฉพาะในพืช สารกลุ่มนี้อาจเป็นสารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่นหรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว สารพฤกษเคมีเหล่านี้หลายชนิดมีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดและโรคสำคัญที่มักจะกล่าวกันว่าสารกลุ่มนี้ "


กินครบ 5 สี สุขภาพดีห่างไกลโรค
               ผลการวิจัยจากโกลบอลไฟโตนิวเทรียนท์พบ 3 ใน 4 ของประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ทั่วโลก รับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเกิน 1 เท่าตัว หรือที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ปริมาณ 400 กรัมต่อวัน ค้านกระแสสุขภาพดีมาแรง ผู้เชี่ยวชาญแนะเพิ่มปริมาณและสีสันผักผลไม้ต่อวันเพื่อสุขภาพแข็งแรง อีกทั้งรับประทานให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ถือเป็นการนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี

                 รศ.ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ประเทศไทยมีการสำรวจสถิติการรับประทานผักและผลไม้ ในช่วงปี 2550 - 2554 โดยปริมาณการรับประทานผักและผลไม้ที่แนะนำในแต่ละวันคือ 400 กรัมต่อวัน สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่พบว่ามีเพียงร้อยละ 70 มีการรับประทานผักและผลไม้น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่บ้านเรามีผักที่รับประทานได้กว่า 300 ชนิด รวมทั้งผักพื้นบ้านด้วย

                 "สาเหตุที่คนไทยรับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์เกิดจากสภาพสังคมไทยปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เวลาส่วนใหญ่มักอยู่กับการทำงานและมีเวลาค่อนข้างจำกัด จากการศึกษาพบว่าการรับประทานผักและผลไม้มากกว่า 569 กรัมต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบทางเดินอาหาร ขณะที่ผู้รับประทานผักและผลไม้ในปริมาณต่ำกว่า 249 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงในโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น การรับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอ ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 50 ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 30 ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 6 โรคมะเร็งทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร หลอดอาหารร้อยละ 1 - 6 นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า การรับประทานผักและผลไม้ในสัดส่วนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน และความดัน เป็นต้น” ผู้เชี่ยวชาญ กล่าว

                 นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการรับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ดร. คีธ แรนดอล์ฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์และหนึ่งในทีมวิจัยเผยว่า จำนวนประชากรถึง 3 ใน 4 ของกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลก ยังได้รับไฟโตนิวเทรียนท์ที่ขาดความหลากหลายและไม่เพียงพอต่อการมีสุขภาพดี ไฟโตนิวเทรียนท์หรือสารอาหารตามธรรมชาติที่พบในพืชต่างๆ ทำหน้าที่คอยปกป้องพืชจากศัตรูตามธรรมชาติ รวมทั้งป้องกันการเกิดความเครียดทางกาย และการเกิดสารอนุมูลอิสระ ไฟโตนิวเทรียนท์ทำให้พืชมีสีสันต่างๆ ดังนั้น การรับประทานสีต่างๆ ในอาหาร จะทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้นซึ่งส่งผลต่อการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ซึ่งประโยชน์ของสารไฟโตนิวเทรียนท์ แยกตามสีของผักผลไม้ได้ดังนี้

                 "สีแดง เช่น ไลโคปีน พบมากในมะเขือเทศ ช่วยบำรุงต่อมลูกหมาก และมีช่วยบำรุงปอดและหัวใจ สีเขียว เช่น ลูทิอีน และซีแซนทิน พบมากในบร็อคโคลี ผักกาดเขียว ช่วยบำรุงสายตา สีขาว เช่น เคอเวทิน พบมากในหอมหัวใหญ่ แอปเปิ้ล ช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อ สีม่วง เช่น แอนโธไซยานิน พบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี อาทิ บลูเบอร์รี สตอเบอร์รี ช่วยบำรุงสมอง และบำรุงหัวใจ สีเหลืองและส้ม เช่น เบต้า-แคโรทีน พบมากในแครอท ฟักทอง ช่วยบำรุงสายตา และบำรุงหัวใจ เฮสเพอริดิน พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม ช่วยบำรุงหลอดเลือดแดง" นักโภชนาการ แนะทิ้งท้าย
     ผลการคัดกรองความเสี่ยงของสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรคได้ทำการเจาะเลือดกลุ่มเกษตรกรที่เป็นผู้สัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง (ตั้งแต่ปี 2555-2559) อยู่ที่ร้อยละ 33 และในปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 37 จะเห็นได้ว่า เกษตรกรมีความเสี่ยง และไม่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารเคมีสูงขึ้น เนื่องจากมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้มากขึ้นทำให้ผักและผลไม้ที่ขายในท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างเพิ่มขึ้นด้วย
ผู้ซื้อสามารถใช้ทางเลือกอื่นที่เหมาะสม “ล้างผัก” ได้แก่
1. ล้างด้วยผงฟู (เบกกิ้งโซดา) โดยผสมผงฟูครึ่งช้อนโต๊ะกับน้ำ 10 ลิตร แช่ผักผลไม้ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดสารพิษได้ร้อยละ 95
2. ล้างด้วยน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดสารเคมีได้ร้อยละ 60-84 ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ล้างไข่พยาธิในผักสดได้อีกด้วย โดยปริมาณสารพิษตกค้างที่ลดลงจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีและปริมาณผัก ผลไม้ในแต่ละครั้งของการล้าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป