สุขภาพแข็งแรง สุขภาพสมบูรณ์ สูงสุด

สัญญาณเตือนของร่างกาย
     ร่างกายของเรามีความพิเศษที่สำคัญคือ มักจะส่งสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเซลของเรากำลังต้องการดูแล อาการที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนมานั้นหลายๆ คนมักดับอาการเตือนด้วยการกินยาเพื่อหยุดอาการเตือนโดยเข้าใจผิดว่า กินยาแล้วคงหาย แต่ความจริงแล้ว เซลของร่างกายไม่ต้องการยาเลยแต่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษเรื่องของสารอาหาร การกินยานั้นยิ่งทำให้เซลร่างกายบอบช้ำและรอวันจะแสดง
อาการพัฒนาของอาการผิดปกติจนเกิดเป็นอาการป่วยในอนาคต และตรงอวัยวะนั้นๆ กำลังจะเกิดปัญหาให้เรารีบดูแลด้วยสารอาหาร คนบางคนแย่กว่าเพราะร่างกายไม่ส่งสัญญาณใดๆ แต่จะแจ๊คพ็อตเจ็บป่วยเลย ใครที่มีอาการ อ่อนเพลีย อ่อนแอ ไม่สดชื่น ผิว ผม เล็บไม่แข็งแรง เป็นฝ้า เป็นกระ หลงๆ ลืมๆ เป็นหวัดง่าย ป่วยบ่อย อารมณ์เสีย ขี้หงุดหงิด ไม่มีความสุข นอนไม่หลับ หลับแล้วฝัน ถ้าเราฝันแสดงว่าเซลจะซ่อมไม่ได้ คนสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดหลับแล้วจะไม่ฝัน จะหลับลึก จนตื่นอีกครั้ง หากยิ่งฝันว่าวิ่งหนี ฝันว่าโดนทำร้าย แสดงว่าเซลของเราเสื่อมมาก ไม่มีสมาธิ จิตใจวอกแวก หู้เหมือนมีเสียงหึ่งๆ คอและ สันหลังแข็ง เป็นกรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย คัดจมูก มือเท้าเย็น ท้องผูก ถ่ายเหลว เบื่ออาหาร เหล่านี้คือสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าเรากำลังเกิดปัญหาในระดับเซล ต้องการสารอาหารเข้ามาดูแลร่างกาย
สร้างสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงสูงสุด
     สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงสูงสุดเกิดจาก ร่างกายของเราได้รับสารอาหารจากอาหารที่เราทานครบ 5 หมู่ทั้งปริมาณและคุณภาพตามช่วงเวลาที่ร่างกายทำงาน หมายความว่า ช่วงเวลาของมื้ออาหารตามปกติ คือ อาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น จะให้ความสำคัญกับร่างกายไม่เท่ากัน
อาหารเช้า
ร่างกายควรได้รับอาหารอย่างเต็มพิกัด เหตุผลเพราะว่า
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การกินอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการคือ ควรกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะช่วงระยะเวลาระหว่างอาหารเย็นถึงเช้า แม้จะเป็นช่วงเวลาที่นอนหลับพักผ่อน แต่ร่างกายก็ยังเผาผลาญสารอาหารตามปกติ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง หากเด็กไม่กินอาหารเช้าเพิ่มเข้าไป ร่างกายจะไปดึงสารอาหารสะสมสำรองในยามจำเป็นมาใช้แทนทำให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์เสีย ไม่มีสมาธิในการเรียน อาจถึงขั้นหน้ามืดเป็นลมได้ เนื่องจากสมองได้รับน้ำตาลกลูโคสไปเลี้ยงไม่เพียงพอ และการงดกินอาหารมื้อเช้าอาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียนเป็นวัยที่ยังเจริญเติบโตมีความต้องการพลังงานและสารอาหารต่อน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่ผู้ปกครองจึงต้องสร้างนิสัยการกินอาหารเช้าของเด็กโดยกินร่วมกับเด็ก ไม่ควรเร่งรีบ หรือกดดันลูกเวลากินข้าวเช้า หรืออาจเตรียมเป็นเมนูอาหารที่กินระหว่างเดินทางได้ และควรให้กินอาหารเช้าเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำทุกเช้าสำหรับกลุ่มวัยอื่น ๆ การกินอาหารเช้าจะช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เพราะหลังจากกินมื้อเย็นจนถึงเช้าวันใหม่ ร่างกายอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง หากไม่กินอาหารเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายรู้สึกหิวอยู่ตลอดทั้งวันทำให้บริโภคในมื้อถัดไปในปริมาณมากเกินความต้องการจนส่งผลให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้
อาหารกลางวัน
เป็นมืออาหารที่ร่างกายจะย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารต่อเนื่อง
มื้อกลางวัน ก็สำคัญไม่แพ้มื้อเช้าเช่นกัน เพราะเมื่อใช้พลังงานจากอาหารในมื้อเช้าหมดลงไปแล้ว ก็ต้องเติมพลังงานในมื้อต่อไปเพื่อให้พร้อมสำหรับการทำงานและกิจกรรมในช่วงบ่าย อาหารกลางวันที่ดีควรมีคุณค่าสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่เช่นกัน ทั้งข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีตที่ให้คาร์โบไฮเดรต โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถั่ว หรือเต้าหู้ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองมาก
ผักและผลไม้ด้วย เพราะไม่ได้มีแค่วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นเท่านั้น ผักสดและผลไม้สดยังมีน้ำอยู่มาก หน้าร้อนที่ร่างกายสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อได้ง่าย อาหารที่มีน้ำอยู่มากอย่างผักและผลไม้สดจะช่วยให้น้องๆ รู้สึกสดชื่นในช่วงบ่ายของวัน ช่วยให้ไม่หิวจนเกินไปก่อนจะถึงมื้อเย็น
อาหารเย็น
เป็นมื้ออาหารที่ร่างกายยังคงย่อยต่อเนื่องแต่ปริมาณสารอาหารที่จะนำไปใช้จะลดลง ไม่ควรงดมื้อเย็น
การงดรับประทานอาหารในมื้อเย็นไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพของเราอย่างที่หลายๆ คนคิด เราควรใช้การลดปริมาณอาหาร หรือรับประทานอาหารที่มีแคลอรีน้อยๆแทนจัดดีกว่า เหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากกระเพราะทำการหลั่งน้ำย่อยยออกมาในเวลาเย็น แล้วภายในกระเพราะอาหารไม่อาหารให้ย่อย สิ่งที่น้ำย่อยจะทำการย่อยก็คือตัวกระเพราะอาหารเอง ซึ่งส่งผลให้เป็นแผลในกระเพราะอาหารในระยะยาว

อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ควรงดมื้อเย็นคือ เป็นการเพิ่มโอกาสความเสี่ยงในการเป็นโรคขาดสารอาหารมากขึ้น เนื่องจากมื้อเย็นเป็นโอกาสที่คุณจะรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้ได้มากที่สุด ใครที่งดอาหารเย็นมักจะขาดวิตามินและเกลือแร่ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เว้นเสียแต่ว่าสามารถรับประทานอย่างเพียงพอในมื้อเช้า และมื้อกลางวัน

การอดอาหารเย็นยังอาจส่งผลให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนนอนไม่หลับ ไม่แพ้อาการกรดไหลย้อน เลยที่เดียว นอกจากนี้ยังส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากได้รับพลังงานไม่เพียงพอ และยังส่งผลเสียต่อระบบขับถ่ายในระยะยาวอีกด้วย

ปรับสมดุล
     การปรับสมดุลเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดจะอยู้ในห้วงระยะ 14 ถึง 60 วัน ขึ้นอยู่กับการขาดสารอาหารสะสมมาเป็นระยะเวลานานเท่าไร
หมู่อาหารที่สำคัญ
ร่างกายของเราประกอบด้วยสารอาหารสำคัญที่เรามองเห็นเป็นรูปร่างด้วยตาเปล่า องค์ประกอบหลักคือ โปรตีน องค์ประกอบร่วมคือไขมันและน้ำทุกส่วนของร่างกายจะเป็นสามสิ่งนี้ประกอบกันทุกอวัยวะจะมีโปรตีนต่อเป็นสายยาวประกอบด้วยโปรตีน 21 - 22 ชนิด เสมอ โดยร่างกายต้องการโปรตีนจำเป็นแต่ละครั้งเมื่อเรารับประทานอาหารและร่างกายจะย่อยอาหารเป็นสารอาหารต้องมีโปรตีนในรูปของอามิโน 9 ชนิดนี้เสมอๆ โดยร่างกายจะเอาไปสร้างโปรตีนอีก 13 ชนิด เพื่อให้ครบองค์ประกอบ
ไขมัน ( ไขมันไม่อิ่มตัว )
ไขมันจะมี 2 ชนิด ที่ร่างกายจะใข้ประโยชน์ ไขมันที่จำเป็นและมีประโยชน์คือไขมันไม่อิ่มตัวเราได้ไขมันชนิดนี้ในรูปของไขมันโอเมก้า 3 เป็นไขมันที่ไม่ทำให้เราอ้วน ส่วนไขมันอีกชนิดที่เรามักจะรับประทานกันเกินเป็นประจำและสม่ำเสมอไขมันชนิดนี้ทำให้อ้วนคือไขมันอิ่มตัวหรือไขมันในรูปของน้ำมันโอเมก้า 6
เกลือแร่และวิตามิน
     ความสำคัญของเกลือแร่และวิตามิน ต่อระบบการทำงานของร่างกาย
ความสำคัญของเกลือแร่และวิตามิน คือเป็นส่วนประกอบของสารสำคัญต่างๆในร่างกายและยังเป็นตัวช่วยทำให้ปฏิกิริยาต่างๆทางชีวเคมีในร่างกายของคนเราดำเนินไปตามปกติ หากร่างกายขาดหรือได้รับเกลือแร่และวิตามินไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานผิดพลาดหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอันจะทำให้เกิดผลเสียหายต่อสุขภาพตั้งแต่เรื่องเล็กๆจนถึงขั้นก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรงตามมาได้

การที่ร่างกายขาดเกลือแร่และวิตามิน ก็เปรียบได้กับเครื่องยนต์ที่ขาดสารหล่อลื่น ถึงแม้เกลือแร่และวิตามินจะไม่ได้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญแต่หากขาดเกลือแร่และวิตามินที่เปรียบเสมือนสารหล่อลื่นในเครื่องยนต์จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการสึกหรอเร็ว หากฝืนใช้เครื่องยนต์ต่อไปทั้งๆที่ขาดสารหล่อลื่นเป็นเวลานานๆก็อาจทำให้ชิ้นส่วนอื่นๆของเครื่องยนต์เกิดการชำรุดเสียหายได้
ระดับความสมดุลของเกลือแร่และวิตามินในร่างกาย ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงจะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้โดยธรรมชาติ(ไม่ต้องพึ่งยา)เพราะร่างกายจะต้องอาศัยปฏิกิริยาเคมีจากเซลล์ต่างๆในร่างกาย ปฏิกิริยาของเซลล์ต่างๆจะดำเนินไปโดยราบรื่นได้ต้องอาศัยเอ็นไซม์ (Enzyme) ต่างๆ และเอ็นไซม์ก็ต้องอาศัยวิตามินอีกทอดหนึ่งในการทำงานให้ได้ตามปกติ ทำให้เห็นถึงความสำคัญของเกลือแร่และวิตามินเนื่องจากการขาดเกลือแร่และวิตามินจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดไปจากปกติ

ในปัจจุบันมีการค้นพบคุณสมบัติใหม่ๆของวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) นอกจากจะทำหน้าที่ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในร่างกายแล้วยังมีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาโรคได้อีกหลายชนิดเช่น วิตามินซีที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการป้องกันโรคตั้งแต่ไข้หวัดจนถึงมะเร็งได้และหากร่างกายได้รับวิตามินซีขนาด 3,200 - 12,000 มิลลิกรัม/วัน จะสามารถทำให้คนเรามีอายุยืนยาวกว่าปกติ
น้ำดื่มดีต่อสุขภาพอย่างไร?
     คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นอาทิตย์ๆ หากปราศจากอาหารแต่เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นหากปราศจากน้ำ เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายที่มีอยู่ทั้งในเลือดและน้ำย่อย แล้วยังช่วยในการควบคุมอุณภูมิของร่างกายด้วย
ดื่มน้ำวันละกี่ลิตร?
ผู้หญิง ควรดื่มวันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)
ผู้ชาย ควรดื่มวันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว)
ดื่มน้ำตอนใหนดี ?
1 แก้ว ตื่นนอน เพื่อลดความเข้มข้นของเลีอดและช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในให้ตื่นตัว
2 แก้ว 9-10 โมงเช้า ชำระของเสียออกจากร่างกาย
1/2 แก้ว ก่อนอาหาร 15 นาที ช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น ผู้ที่ลดน้ำหนักสามารถดื่มน้ำ 1-2 แก้ว 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร
1/2 แก้ว หลังอาหาร 40 นาที ช่วยระบบย่อยอาหาร แต่ไม่ควรดื่มน้ำเกิน 1 แก้ว เพราะจะไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและไม่ควรจิบน้ำไปทานข้าวไป
ระหว่างวันให้จิบน้ำตลอดวันเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
1 แก้ว ก่อนเข้านอน ช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือหัวใจวาย และช่วยชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้ว เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักในระหว่างหลับ และตื่นมาปัสสาวะเป็นสาเหตุทำให้นอนหลับไม่สนิท
ภาวะร่างกายขาดน้ำ
ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ หมายถึง ภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าที่ร่างกายได้รับ ซึ่งถ้าหากขาดน้ำมากๆ และไม่ได้รับการทดแทนอย่างเพียงพอในเวลาที่เหมาะสม ก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ หรือถ้าหากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปก็จะส่งผลเสียได้เหมือนกัน
ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำจากทางเหงื่อ ลมหายใจ และการขับถ่าย นอกจากนี้เรายังสูญเสียเกลือแร่ออกจากร่างกายอีกด้วยในเวลาที่เราขับเหงื่อออกจากร่างกาย โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีอากาศร้อนร่างกายก็ยิ่งต้องการน้ำมากขึ้น
ถ้าร่างกายขาดน้ำ สังเกตุอาการดังนี้
ปวดศรีษะ ปวดตุ๊บๆเหมือนปวดเกร็งตรงบริเวณขมับ บางครั้งเวลาจับจะเป็นก้อน
ปากแห้ง หรือบางทีผิวแห้ง
คอแห้ง
ร้อนใน เป็นแผลในปาก
แขนขาอ่อนแรง
สีปัสสาวะจะเหลืองเข้ม
ถ้าดื่มน้ำมากหรือน้อยไปจะเป็นอย่างไร?
ของทุกกอย่างมากไปน้อยไปไม่ดีทั้งสิ้น เช่น บางคนบอกดื่มน้ำเยอะๆแล้วดี ดื่มที 8-10 ลิตรต่อวันนั้นก็มีผลเสียเช่นกัน เพราะว่าจะทำให้สมดุลเกี่ยวกับน้ำและเกลือแร่ของร่างกายมันผิดไปจากที่ควร ซื่งอาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการจากการที่มีเกลือแร่ต่ำได้ อย่างเช่น อาจจะมีอาการคลื่นใส้ อาเจียน เวียนศรีษะได้ เป็นต้น
สำหรับคนที่ดื่มน้ำน้อยไป ปัญหาก็คือ น้ำก็ไม่เพียงพอที่จะเอาไปใช้ในกระบวนการเผาผลานของร่างกาย เพราะฉะนั้นระบบต่างๆ ของร่างกายก็ไม่ดี รวมถึงอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทำให้เกิดโรคนิ่วต่างๆได้ เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอ และเหมาะสมในแต่ละวันนั้น จะเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ

สาเหตุที่ต้องดื่มน้ำ 2 ลิตรต่อวัน
ร่างกายจะใช้น้ำสำหรับกระบวนการเผาผลานต่างๆ ในร่างกายประมาณครึ่งลิตร และอีกครึ่งลิตรนั้นเราจะเสียไปกับน้ำที่มองไม่เห็น เช่น เหงื่อระเหยออกไป ส่วนอีก 1 ลิตร จะเป็นน้ำปัสสาวะที่เราจะต้องขับทิ้งในแต่วัน เพราะฉะนั้นเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน ปริมาณน้ำดื่มโดยประมาณควรจะเป็น 2 ลิตรต่อวัน แต่สำหรับบางคนซึ่งเสียน้ำไปมากกว่านั้น เช่นกรณี เสียเหงื่อเยอะ ทำงานกลางแจ้ง หรือว่าเล่นกีฬา ก็ต้องดื่มให้มากกว่านั้นเพื่อชดเชยกับสิ่งที่เสียไป
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำ
นมเป็นอาหารไม่ใช่น้ำดื่มและไม่ควรถือว่าการดื่มนมทดแทนการดื่มน้ำเปล่าได้
ผู้ที่ทานยาที่ระคายเคืยงต่อกระเพราะอาหารหรือยาปฎิชีวนะควรดื่มน้ำตามมากๆ
หากสังเกตุว่าปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นอย่าลืมดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำเปล่าอุ่น หรือน้ำเปล่าธรรมดา เพราะน้ำเย็นทำให้ปัสสาวะบ่อย ไม่เหมือนการจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ ทำให้ยืดเวลาในการเข้าห้องน้ำนานขึ้น
อากาศบริสุทธิ์
  ฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายล่องลอยในอากาศมีทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลว มีหลากหลายขนาดตั้งแต่ฝุ่นละอองขนาดใหญ่ ขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน (Total Suspended Particulate Matter, TSP) ฝุ่นหยาบขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (Particulate Matter with an aerodynamic diameter less than or equal to a nominal 10 micro- meters, PM10) จนถึงฝุ่นละเอียดขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และฝุ่นละเอียดขนาดเล็กมาก ขนาดไม่เกิน 0.1 ไมครอน (PM0.1) ฝุ่นละอองขนาดใหญ่จะตกลงสู่ พื้นด้วยแรงดึงดูดของโลก ส่วนฝุ่นขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน สามารถแขวนลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน ปะปนในอากาศที่มนุษย์หายใจเข้าไปและส่งผลต่อสุขภาพอนามัย
เชื้อโรคในอากาศ
ภัยเงียบที่คุณไม่ควรมองข้ามจากรอบตัวเรามีเชื้อโรคกระจายอยู่ตามที่ ต่างๆมากมาย ปัจจุบันมีผลวิจัยของแพทย์มายืนยันว่าเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ ไม่ได้สามารถฟอกหรือทำความสะอาดและไม่สามารถการันตีได้ว่าสามารถกำจัดเชื้อ โรคได้หมดจด และมีเชื้อโรคแปลกๆเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องและที่สำคัญคือโรคที่เกิดจาก แบคทีเรียในอากาศซึ่งคนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่กับเครื่องปรับอากศอยู่แทบจะทุก วัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือที่ทำงาน และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากเชื้อโรคหรือว่าความหมักหมมของสิ่งสกปรก ซึ่งจะกลายร่างเป็นเชื้อโรคต่อไป




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป