คนเป็นมะเร็งกินโปรตีนจากถั่วเหลืองได้หรือไม่
คนที่เป็นมะเร็ง( มีหลายชนิด) สามารถกินโปรตีนจากถั่วเหลืองได้หรือไม่
บทความนี้ จะไม่กล่าวถึงการบำบัด บรรเทา ป้องกัน หรือ รักษาโรคมะเร็งต่างๆ แต่เคยมีบางท่านเกิดความสงสัยว่า คนที่เป็นมะเร็ง(ซึ่งมีหลายชนิด) จะสามารถกินโปรตีนจากถั่วเหลืองได้หรือไม่ สืบค้นข้อมูลมาให้อ่านกันเพื่อเป็นความรู้กัน
ถาม : มีคำถามมาว่าผู้ป่วยโรคนี้ ควรดูแลสุขภาพอย่างไรดี และผู้ป่วยโรคนี้สามารถทานโปรตีนจากถั่วเหลืองได้หรือไม่?
ตอบ : ขออ้างอิงข้อมูลที่เขียนโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ (ความรู้สำหรับประชาชน โดย สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย)
ถาม : ถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?
ตอบ : ถั่วเหลือง เป็นอาหารมีประโยชน์มาก มีโปรตีนสูงเกือบเท่าน้ำนมวัว นอกจากนั้นยังมี คาร์โบไฮเดรต มีไขมันชนิดดีสูง มีใยอาหารสูง มีวิตามิน เกลือแร่สูง จึงใช้เป็น "อาหารเสริม" ได้ดี ในผู้ที่แพ้นมวัวและไม่สามารถบริโภคนมได้ยังสามารถใช้สูตรอาหารจากถั่วเหลืองทดแทนได้ นอกจากนี้ยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน(phytoestrogen) ซึ่งมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนในผู้หญิง อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองเป็น"อาหารเสริม"ที่ให้ประโยชน์มากในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่บริโภคอาหารได้น้อยหรือแพ้นมหรือมีอาการคลื่นไส้/อาเจียนหรือเจ็บเวลากลืน/รับประทาน เพราะในปัจจุบันเป็นอาหารที่หาง่ายเก็บรักษาง่ายราคาไม่แพงและผู้ผลิตยังเพิ่มเติมสารอาหารมีประโยชน์ต่างๆลงในนมถั่วเหลืองสำเร็จรูป
ถาม : การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำ "ป้องกัน" โรคมะเร็งได้ไหม?
ตอบ : ในด้านเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งการศึกษาทางการแพทย์ในคนนั้น ยังไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าการบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำช่วยป้องกันและหรือรักษาโรคมะเร็งได้ มีบางการศึกษาพบว่า การบริโภคถั่วเหลืองอาจลดโอกาสเกิด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก "ในผู้ชาย" และ โรคมะเร็งเต้านมใน "ผู้หญิงวัยยังมีประจำเดือน" แต่อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งเต้านมใน "หญิงวัยหมดประจำเดือน" แล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากสารไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลือง อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษายืนยันชัดเจน
ถาม : ทำไมผู้ป่วยโรค "มะเร็งเต้านม" จึงควรระมัดระวังการบริโภคถั่วเหลือง?
ตอบ : ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม เป็นโรคมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนนี้เป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโต ลุกลาม ของเซลล์มะเร็งเต้านม และถึงแม้ยังไม่มีการศึกษาทางการแพทย์ในคนยืนยันในเรื่องนี้ แต่โดยทฤษฎีการบริโภคถั่วเหลืองซึ่งมีสารไฟโตเอสโตรเจนอาจมีผลกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในสัตว์ที่เป็นมะเร็งเต้านมพบว่า การบริโภคถั่วเหลืองมีผลต้านยาฮอร์โมนที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง
- ดังนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม และ ผู้ป่วยหญิงวัยหมดประจำเดือน จึงควรระมัดระวังในการบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง "ไม่ให้มากเกินไป" จนกว่าการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่ ยืนยันได้ชัดเจนถึงผลจากการบริโภคถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ
ถาม : นอกจากโรคมะเร็งเต้านมแล้ว มีโรคมะเร็งอื่นอีกไหมที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน?
ตอบ : นอกจากโรคมะเร็งเต้านมแล้ว โรคมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ
- โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แต่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและถั่วเหลืองยังมีน้อยมาก แต่ควรระมัดระวังการบริโภคนมถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลืองไว้บ้างเช่นเดียวกับในโรคมะเร็งเต้านมน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าโทษ
- โรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็น โรคมะเร็งอีกชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในทางกลับกันกับโรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก กล่าวคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วย "หยุดยั้ง" การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้
- ดังนั้น ในขณะนี้ จึงกำลังมีการศึกษาทางการแพทย์อย่างจริงจัง ถึงประโยชน์ทีผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจะได้รับจากการบริโภคถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง แต่ในผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้รับยารักษาต้านฮอร์โมน ควรระวังการบริโภคถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง เพราะยังไม่มีการศึกษาว่าสารไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง มีผลอย่างไรต่อยาต้านฮอร์โมนในโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ถาม : ผู้ป่วยโรคมะเร็ง(ชนิดอื่นๆ) บริโภคถั่วเหลืองได้ไหม?
ตอบ : การบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองในผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดอื่น ซึ่งไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน "ไม่มีผลกระทบ" ต่อโรคมะเร็ง เพราะดังที่กล่าวมาแล้วว่า "ถั่วเหลืองเป็นอาหารมีประโยชน์มาก" เป็นแต่เพียงให้ระมัดระวังในเรื่องของความสะอาดและการปนเปื้อนสารก่อมะเร็งจากการเก็บรักษาถั่วเหลืองไม่ดีหรือจากการถนอมอาหาร เช่น เชื้อราจากการทำเต้าเจี้ยว เป็นต้น
- ดังนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ควรระมัดระวังการบริโภคถั่วเหลือง กล่าวคือไม่ควรบริโภคในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม และผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เพราะเป็นโรคมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน และ ผู้ป่วยซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนชนิดต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย (ข้อมูลจากเวป : thastro.org)
หมายเหตุ : การดูแลสุขภาพด้านโภชนาการพื้นฐานเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี (ข้อความต่อไปนี้ จะไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค แต่อย่างใด) ควรทานอาหารให้ครบหมู่ เนื่องจากสารอาหารที่หลากหลายจะให้คุณค่าในทุกๆด้าน ตัวอย่างเช่น
- สารอาหารกลุ่ม โปรตีน : ควรทานโปรตีน(คุณภาพ) เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซมส่วนทีสึกหรอ ของร่างกาย
-* แต่ในกรณีมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (เช่น มะเร็งเต้านม,มะเร็งรังไข่) หากต้องการทานโปรตีนที่มีส่วนประกอบจากถั่วเหลือง ก็ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาก่อนและถ้าแพทย์ไม่ได้ห้ามให้รับประทาน ก็ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะอย่าทานในปริมาณที่มากจนเกินไป แต่ถ้าแพทย์ห้ามรับประทานก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- กรณีมะเร็งกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน : ในบทความของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ (ความรู้สำหรับประชาชน โดย สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย) ข้างต้น ให้ความเห็นไว้ว่า สามารถทานโปรตีนที่มีส่วนประกอบจากถั่วเหลืองได้ตามปกติ
- กลุ่ม วิตามิน เกลือแร่ ไฟโตนิวเทรียนท์ : เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของร่างกายโดยรวมให้สมบูรณ์ อาทิ ส่งเสริมการเผาผลาญสารอาหาร, ส่งเสริมการทำงานของเอ็นไซม์และฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ฯลฯ
- กลุ่ม ไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากผักผลไม้รวม) เป็นสารพฤกษเคมี ที่พบได้ในพืชผักและผลไม้รวมฯ : เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ (ต้านปฏิกริยาออกซิเดชั่น), ช่วยตับขจัดสารพิษ, ต้านภาวะอักเสบ, ต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์
- กรดไขมันโอเมก้า-3 : เป็นสารอาหารในกลุ่มไขมัน(ที่ดี) ที่มีบทบาทในการช่วยต้านภาวะอักเสบระดับเซลล์และเนื้อเยื้อต่างๆ, ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด, ช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง
- โคเอ็นไซม์ คิวเท็น : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการสร้างพลังงานพื้นฐานให้กับเซลล์ และ ต้านอนุมูลอิสระ (ร่างกายของผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะสร้างสารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น ลดน้อยลง อาจทำให้เซลล์ขาดพลังงาน ATP)
- วิตามินซี : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ, ต้านเชื้อไวรัส(หวัด) ส่งเสริมการสร้างคอลาเจน
- วิตามินบี(รวม) : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการส่งเสริมระบบเผาผลาญสารอาหาร, ช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง เป็นต้น
- ธาตุเหล็ก และ โฟเลต : เป็นแร่ธาตุและวิตามินที่ส่งเสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโลหิตจาง
- สมุนไพรบางชนิด อาทิ สารสกัดโสมไซบีเรียฯ : ให้สารออกฤทธิ์ช่วยการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษจากการรักษาด้วยรังสีบำบัด ส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวจากการรับรังสีได้ดีขึ้น
(หมายเหตุ : ขณะอยู่ระหว่างทำการรักษาด้วยรังษีบำบัด หรือเคมีบำบัด ยังไม่แนะนำให้ทานโสมไซบีเรียฯ เพราะอาจต้านฤทธิ์ของยาในการรักษา ควรให้พ้นระยะหรือครบจำนวนครั้งในการรักษาไปแล้ว และควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาก่อน)
- ในกรณีทานอาหารในมื้อปกติได้น้อยหรือทานได้ลำบาก เช่น มีภาวะหลอดอาหารอักเสบ, เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้ หรือ เบื่ออาหาร อาจให้ทานผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (ที่ให้คุณค่าสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ พร้อมใยอาหาร) ในรูปแบบผง ผสมกับ โปรตีน ชงกับน้ำดื่ม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพียงพอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8-10 แก้ว/วัน
หมายเหตุ : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยารักษาโรค จึงไม่สามารถอ้างอิงได้ว่านำมาใช้ในการ บำบัด บรรเทา ป้องกัน หรือ รักษาโรค หากผู้ป่วยอยู่ในระหว่างการรักษาทางการแพทย์ควรปรึกษาแพทย์
: วัตถุประสงค์ในการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเพียงพอและสมดุล นอกเหนือจากที่ได้รับในอาหารมื้อปกติ เพื่อร่างกายจะได้นำสารอาหารที่ได้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน
บทความนี้ จะไม่กล่าวถึงการบำบัด บรรเทา ป้องกัน หรือ รักษาโรคมะเร็งต่างๆ แต่เคยมีบางท่านเกิดความสงสัยว่า คนที่เป็นมะเร็ง(ซึ่งมีหลายชนิด) จะสามารถกินโปรตีนจากถั่วเหลืองได้หรือไม่ สืบค้นข้อมูลมาให้อ่านกันเพื่อเป็นความรู้กัน
ตอบ : ขออ้างอิงข้อมูลที่เขียนโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ (ความรู้สำหรับประชาชน โดย สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย)
ถาม : ถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?
ตอบ : ถั่วเหลือง เป็นอาหารมีประโยชน์มาก มีโปรตีนสูงเกือบเท่าน้ำนมวัว นอกจากนั้นยังมี คาร์โบไฮเดรต มีไขมันชนิดดีสูง มีใยอาหารสูง มีวิตามิน เกลือแร่สูง จึงใช้เป็น "อาหารเสริม" ได้ดี ในผู้ที่แพ้นมวัวและไม่สามารถบริโภคนมได้ยังสามารถใช้สูตรอาหารจากถั่วเหลืองทดแทนได้ นอกจากนี้ยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน(phytoestrogen) ซึ่งมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนในผู้หญิง อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองเป็น"อาหารเสริม"ที่ให้ประโยชน์มากในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่บริโภคอาหารได้น้อยหรือแพ้นมหรือมีอาการคลื่นไส้/อาเจียนหรือเจ็บเวลากลืน/รับประทาน เพราะในปัจจุบันเป็นอาหารที่หาง่ายเก็บรักษาง่ายราคาไม่แพงและผู้ผลิตยังเพิ่มเติมสารอาหารมีประโยชน์ต่างๆลงในนมถั่วเหลืองสำเร็จรูป
ตอบ : ในด้านเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งการศึกษาทางการแพทย์ในคนนั้น ยังไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าการบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำช่วยป้องกันและหรือรักษาโรคมะเร็งได้ มีบางการศึกษาพบว่า การบริโภคถั่วเหลืองอาจลดโอกาสเกิด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก "ในผู้ชาย" และ โรคมะเร็งเต้านมใน "ผู้หญิงวัยยังมีประจำเดือน" แต่อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งเต้านมใน "หญิงวัยหมดประจำเดือน" แล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากสารไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลือง อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษายืนยันชัดเจน
ตอบ : ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม เป็นโรคมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนนี้เป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโต ลุกลาม ของเซลล์มะเร็งเต้านม และถึงแม้ยังไม่มีการศึกษาทางการแพทย์ในคนยืนยันในเรื่องนี้ แต่โดยทฤษฎีการบริโภคถั่วเหลืองซึ่งมีสารไฟโตเอสโตรเจนอาจมีผลกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในสัตว์ที่เป็นมะเร็งเต้านมพบว่า การบริโภคถั่วเหลืองมีผลต้านยาฮอร์โมนที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง
- ดังนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม และ ผู้ป่วยหญิงวัยหมดประจำเดือน จึงควรระมัดระวังในการบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง "ไม่ให้มากเกินไป" จนกว่าการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่ ยืนยันได้ชัดเจนถึงผลจากการบริโภคถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ
ถาม : นอกจากโรคมะเร็งเต้านมแล้ว มีโรคมะเร็งอื่นอีกไหมที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน?
ตอบ : นอกจากโรคมะเร็งเต้านมแล้ว โรคมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ
- โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แต่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและถั่วเหลืองยังมีน้อยมาก แต่ควรระมัดระวังการบริโภคนมถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลืองไว้บ้างเช่นเดียวกับในโรคมะเร็งเต้านมน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าโทษ
- โรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็น โรคมะเร็งอีกชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในทางกลับกันกับโรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก กล่าวคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วย "หยุดยั้ง" การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้
- ดังนั้น ในขณะนี้ จึงกำลังมีการศึกษาทางการแพทย์อย่างจริงจัง ถึงประโยชน์ทีผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจะได้รับจากการบริโภคถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง แต่ในผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้รับยารักษาต้านฮอร์โมน ควรระวังการบริโภคถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง เพราะยังไม่มีการศึกษาว่าสารไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลือง/ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง มีผลอย่างไรต่อยาต้านฮอร์โมนในโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ถาม : ผู้ป่วยโรคมะเร็ง(ชนิดอื่นๆ) บริโภคถั่วเหลืองได้ไหม?
ตอบ : การบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองในผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดอื่น ซึ่งไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน "ไม่มีผลกระทบ" ต่อโรคมะเร็ง เพราะดังที่กล่าวมาแล้วว่า "ถั่วเหลืองเป็นอาหารมีประโยชน์มาก" เป็นแต่เพียงให้ระมัดระวังในเรื่องของความสะอาดและการปนเปื้อนสารก่อมะเร็งจากการเก็บรักษาถั่วเหลืองไม่ดีหรือจากการถนอมอาหาร เช่น เชื้อราจากการทำเต้าเจี้ยว เป็นต้น
- ดังนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ควรระมัดระวังการบริโภคถั่วเหลือง กล่าวคือไม่ควรบริโภคในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม และผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เพราะเป็นโรคมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน และ ผู้ป่วยซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนชนิดต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย (ข้อมูลจากเวป : thastro.org)
- สารอาหารกลุ่ม โปรตีน : ควรทานโปรตีน(คุณภาพ) เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซมส่วนทีสึกหรอ ของร่างกาย
-* แต่ในกรณีมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (เช่น มะเร็งเต้านม,มะเร็งรังไข่) หากต้องการทานโปรตีนที่มีส่วนประกอบจากถั่วเหลือง ก็ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาก่อนและถ้าแพทย์ไม่ได้ห้ามให้รับประทาน ก็ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะอย่าทานในปริมาณที่มากจนเกินไป แต่ถ้าแพทย์ห้ามรับประทานก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- กรณีมะเร็งกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน : ในบทความของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ (ความรู้สำหรับประชาชน โดย สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย) ข้างต้น ให้ความเห็นไว้ว่า สามารถทานโปรตีนที่มีส่วนประกอบจากถั่วเหลืองได้ตามปกติ
- กลุ่ม วิตามิน เกลือแร่ ไฟโตนิวเทรียนท์ : เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของร่างกายโดยรวมให้สมบูรณ์ อาทิ ส่งเสริมการเผาผลาญสารอาหาร, ส่งเสริมการทำงานของเอ็นไซม์และฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย ฯลฯ
- กลุ่ม ไฟโตนิวเทรียนท์ (สารสกัดจากผักผลไม้รวม) เป็นสารพฤกษเคมี ที่พบได้ในพืชผักและผลไม้รวมฯ : เนื่องจากเป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ (ต้านปฏิกริยาออกซิเดชั่น), ช่วยตับขจัดสารพิษ, ต้านภาวะอักเสบ, ต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์
- กรดไขมันโอเมก้า-3 : เป็นสารอาหารในกลุ่มไขมัน(ที่ดี) ที่มีบทบาทในการช่วยต้านภาวะอักเสบระดับเซลล์และเนื้อเยื้อต่างๆ, ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด, ช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง
- โคเอ็นไซม์ คิวเท็น : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการสร้างพลังงานพื้นฐานให้กับเซลล์ และ ต้านอนุมูลอิสระ (ร่างกายของผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะสร้างสารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น ลดน้อยลง อาจทำให้เซลล์ขาดพลังงาน ATP)
- วิตามินซี : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ, ต้านเชื้อไวรัส(หวัด) ส่งเสริมการสร้างคอลาเจน
- วิตามินบี(รวม) : เป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการส่งเสริมระบบเผาผลาญสารอาหาร, ช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง เป็นต้น
- ธาตุเหล็ก และ โฟเลต : เป็นแร่ธาตุและวิตามินที่ส่งเสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโลหิตจาง
- สมุนไพรบางชนิด อาทิ สารสกัดโสมไซบีเรียฯ : ให้สารออกฤทธิ์ช่วยการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษจากการรักษาด้วยรังสีบำบัด ส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวจากการรับรังสีได้ดีขึ้น
(หมายเหตุ : ขณะอยู่ระหว่างทำการรักษาด้วยรังษีบำบัด หรือเคมีบำบัด ยังไม่แนะนำให้ทานโสมไซบีเรียฯ เพราะอาจต้านฤทธิ์ของยาในการรักษา ควรให้พ้นระยะหรือครบจำนวนครั้งในการรักษาไปแล้ว และควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาก่อน)
- ในกรณีทานอาหารในมื้อปกติได้น้อยหรือทานได้ลำบาก เช่น มีภาวะหลอดอาหารอักเสบ, เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้ หรือ เบื่ออาหาร อาจให้ทานผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (ที่ให้คุณค่าสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ พร้อมใยอาหาร) ในรูปแบบผง ผสมกับ โปรตีน ชงกับน้ำดื่ม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพียงพอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8-10 แก้ว/วัน
: วัตถุประสงค์ในการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเพียงพอและสมดุล นอกเหนือจากที่ได้รับในอาหารมื้อปกติ เพื่อร่างกายจะได้นำสารอาหารที่ได้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น