โรคเกี่ยวกับ "การมองเห็น" ของดวงตา

โรคตา ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก ถึงแม้โรคเกี่ยวกับตาจะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่อย่าลืมว่าดวงตาเสียแล้วซ่อมไม่ได้ ซึ่งบางครั้งอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาอาจไม่แสดงในระยะแรก มารู้อีกทีก็ป่วยขั้นรุนแรงไปแล้ว ดังนั้น ควรให้ความใส่ใจและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อการมองเห็นที่สดใสไปอีกนาน
โรคเกี่ยวกับ "การมองเห็น" ของดวงตา มีหลายโรค เช่น
1) โรคต้อกระจก 
- เกิดจาก "เลนส์ตา" เสื่อมสภาพ เกิดการขุ่นมัว ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด คล้ายกับมีหมอกหรือควันมาบดบังการมองเห็นอยู่ตลอดเวลา 
- สาเหตุ มักเกิดกับผู้สูงอายุ เลนส์ตาถูกอนุมูลอิสระทำลาย เช่น แสงยูวี รังสีจากแสงสีน้ำเงิน(ฟ้า) ควันพิษต่างๆ และ การรับประทานผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยเกินไป
- การรักษา คือ การผ่าตัดเปลี่ยนเลนตาข้างที่เสื่อมออกไป แล้วนำเลนเทียมใส่เข้าไปแทน
- ผลการรักษา จะทำให้ผู้ป่วย มองเห็นภาพกลับมาคมชัดเหมือนคนปกติครับ
- การดูแลด้านโภชนาการ* ควรทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเน้น...
- สารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดวงตา เช่น วิตามินซี, วิตามินเอ และ ไฟโตนิวเทรียนท์ให้หลากหลาย อาทิ สารแอนโธไซยานิน(พืชสีม่วง), สารลูทีน/ซีแซนทีน(พืชสีเหลือง,สีเขียวเข้ม) เป็นต้น 
(* หมายเหตุ : ไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค : ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตาควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์)

2) โรคต้อหิน
- เกิดจาก "ความดัน" ของของเหลวในลูกตา "สูงมาก" จนกระทั้งไปทำลายเซลล์ประสาทตา ทำให้การมองเห็นลดลง (มองภาพตรงกลางเห็น แต่จะภาพที่อยู่ด้านข้างจะมองไม่เห็น) ถ้าเป็นรุนแรงอาจตาบอดได้ (เมื่อความด้านในลูกตาสูงขึ้นมากๆ ลูกตาจะแข็งมากและไม่ยืดหยุ่น จึงถูกเรียกว่า "ต้อหิน")
- สาเหตุ เกิดจากรูระบายของเหลวในตาเกิดอุดตัน ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งยังไม่ทราบว่าสาเหตุว่าทำไม่รูระบายของเหลวในตาเกิดอุดตัน เพียงแต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม แต่ก็อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้นได้ เช่น การใช้น้ำยาหยอดตาบ่อยเกินไป เป็นต้น
- การรักษา คือ การผ่าตัดเพื่อชะลอความเสื่อมของโรคให้ช้าลง โดยแพทย์อาจใช้เครื่องมือเล็กๆเจาะรูระบายของเหลวที่ตีบตันให้ขยายใหญ่ขึ้น เพื่อระบายของเหลวในดวงตาได้ดีขึ้น แต่ก็มักพบว่าอีกสักระยะหนึ่งมันก็จะกลับมาตีบเหมือนเดิม ผู้ป่วยจึงควรต้องไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- ผลการรักษา หากเป็นมากแล้วจะไม่หายขาด / เซลล์ประสาทในส่วนที่เสื่อมไปแล้วก็จะไม่คืนกลับมา(มืดถาวร ไปเรื่อยๆจากด้านข้างของภาพเข้าไปที่จุดโฟกัส) แต่ถ้าใครเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือ เบาหวาน ควรควบคุมความดันโลหิตร่วมด้วย เพราะถ้าเกิดความดันโลหิตสูง อาจทำให้ตาบอดเร็วขึ้น
- การดูแลด้านโภชนาการ* ควรทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเน้น
- สารอาหารที่มีบทบาทในการควบคุมความดันโลหิต เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3, กระเทียม, โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ
- สารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดวงตา เช่น วิตามินซี, วิตามินเอ และ ไฟโตนิวเทรียนท์ให้หลากหลาย อาทิ สารแอนโธไซยานิน(พืชสีม่วง), สารลูทีน/ซีแซนทีน(พืชสีเหลือง,สีเขียวเข้ม) เป็นต้น 
(* หมายเหตุ : ไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค : ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตาควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์)

3) โรค AMD (จุดรับภาพในจอประสาทตาเสื่อม จากการที่อายุมากขึ้น)
- เกิดจาก เซลล์ประสาทตาเสื่อมสภาพ เนื่องจากถูกทำลายจากรังสียูวี เมื่อจุดรับภาพเสื่อม ก็จะทำให้มองภาพตรงกลาง(จุดโฟกัส)ไม่เห็น หรือ เห็นเป็นภาพบิดๆเบี้ยวๆ / คนดวงตาเผชิญกับรังสียูวีมากๆ แรงๆ ก็จะเกิดโรคนี้ได้เร็วขึ้น และ อาจตาบอดได้ 
- สาเหตุ เซลล์ประสาทถูกทำลายจากรังสียูวี หรือ แสงสปอร์ทไลท์แรงๆ 
- การรักษา คือ การผ่าตัดเพื่อชะลอการเสื่อมของโรคให้ช้าลง
- ผลการรักษา จะไม่หายขาด / เซลล์ประสาทในส่วนที่เสื่อมไปแล้วก็จะไม่คืนกลับมา(มืดถาวร ไปเรื่อยๆจากตรงกลางของภาพขยายออกไปด้านข้าง) 
- การดูแลด้านโภชนาการ* ควรทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเน้น สารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดวงตา เช่น วิตามินซี, วิตามินเอ และ ไฟโตนิวเทรียนท์ให้หลากหลาย อาทิ สารแอนโธไซยานิน(พืชสีม่วง), สารลูทีน/ซีแซนทีน(พืชสีเหลือง,สีเขียวเข้ม) เป็นต้น 
(* หมายเหตุ : ไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค : ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตาควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์)

4) โรค จอประสาทตาเสื่อมจาก "เบาหวาน"
- เกิดจาก เซลล์ประสาทตาเสื่อมสภาพ เนื่องจากหลอดเลือดฝอยในดวงตาเสื่อมสภาพ จากสาเหตุการเป็นเบาหวาน
- สาเหตุ เกิดจากโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้หลอดเลือดฝอย(ทั้งร่างกาย)เสื่อมสภาพ เมื่อหลอดเลือดเสื่อมสภาพ เซลล์ประสาทตาก็เสื่อมสภาพตามไปด้วย
- การรักษา คือ การผ่าตัดเพื่อชะลอความเสื่อมของโรคให้ช้าลง
- ผลการรักษา จะไม่หายขาด / เซลล์ประสาทในส่วนที่เสื่อมไปแล้วก็จะไม่คืนกลับมา(มืดถาวร ไปเรื่อยๆ จุดที่มืดหรือมองไม่เห็นภาพจะกระจายหลายๆจุด ) ถ้าใครเป็นโรคความดันโลหิตสูง อาจทำให้ตาบอดเร็วขึ้น
- การดูแลด้านโภชนาการ* ควรทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเน้น 
- สารอาหารที่มีบทบาทควมคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ใยอาหาร(ไฟเบอร์) , กระเทียม เป็นต้น และ 
- สารอาหารที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดวงตา เช่น วิตามินซี, วิตามินเอ และ ไฟโตนิวเทรียนท์ให้หลากหลาย อาทิ สารแอนโธไซยานิน(พืชสีม่วง), สารลูทีน/ซีแซนทีน(พืชสีเหลือง,สีเขียวเข้ม) เป็นต้น 
(* หมายเหตุ : ไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค : ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตาควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์)

5) โรคตาบอด ตอนกลางคืน
- สาเหตุเกิดจากร่างกายขาด "วิตามิน เอ" 
- ในจอประสาทตาของเรานั้น จะอุดมไปด้วยเซลล์รับแสงรูปแท่ง ที่ชื่อว่า "ร็อดเซลล์" (Rod Cell) 
- ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบของเซลล์รับแสงรูปแท่ง (Rod Cell) นี้ จะอุดมไปด้วยสารสีม่วง ที่ชื่อว่า “โรดอปซิน” (Rhodopsin) 
- “โรดอปซิน” เป็นสารที่เกิดจากการรวมตัวกันของ สาร 2 ชนิด ได้แก่ เรตินอล (เรตินอล คือ วิตามิน เอ) กับ ออปซิน (ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง) แปลว่า ถ้าร่างกายขาด "วิตามิน เอ" การสร้าง "โรดอปซิน" ก็ทำได้น้อยลง
- “โรดอปซิน” มีบทบาทมาก ในการช่วยการมองเห็นในที่ๆมีแสงน้อยๆ หรือ ในที่มืดตอนกลางคืน 
(ลองนึกภาพตามนะครับ เวลากลางคืน เราอยู่ในห้องที่ปิดไฟ เราจะยังมองเห็นภาพได้ลางๆ การที่เราสามารถมองเห็นลางๆในที่มืดๆนี่แหละครับ คือ บทบาทของ "โรดอปซิน" นั่นเอง
- หากขาดวิตามิน เอ จะมี “โรดอปซิน” ต่ำกว่าปกติ ซึ่งมีผลต่อการมองเห็นในที่มืดได้ ที่เรียกว่า "โรคตาบอดตอนกลางคืน" ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ ตอนกลางวันที่มีแสงมากๆ ก็จะมองเห็นเป็นปกติ แต่ตอนกลางคืนที่มีแสงน้อยๆ จะมองอะไรไม่ค่อยเห็น คล้ายคนตาบอด
- การรักษา คือ การเสริม วิตามิน เอ และ ควรมีโภชนาการที่ดี ทานพืชผักที่มี สีเขียว สีเหลือง สีส้ม ให้เพียงพอ เนื่องจากอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์
ที่ชื่อว่า เบต้า แคโรทีน (เบต้า แคโรทีน เป็นสารตั้งต้นของ วิตามิน เอ ในร่างกาย)
- ผลการรักษา หากได้รับ วิตามินเอ ที่เพียงพอสม่ำเสมอ ก็จะสามารถมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้นครับ
- การดูแลด้านโภชนาการ* ควรทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเน้น 
- สารอาหารที่มีบทบาทในการมองเห็นตอนกลางคืน เช่น วิตามินเอ และ ไฟโตนิวเทรียนท์ในกลุ่มสีม่วง
อาทิ สารแอนโธไซยานิน, โปรแอนโธไซยานิดิน 
(* หมายเหตุ : ไม่ได้อ้างอิงเกี่ยวกับการบำบัด,บรรเทา,ป้องกันหรือรักษาโรค : ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตาควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์)

ดังนั้น การดูแลสุขภาพดวงตาที่ดี จึงควรทำต้องแต่เนิ่นๆ ดังนี้
- ไม่ควรอยู่กับแสงจ้าๆ(หรือมองแสงจ้าๆ) เป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด , แสงจากการเชื่อมเหล็ก ,แสงสปอร์ตไลท์ ,แสงจอคอมพิวเตอร์(ในที่มืด) ,แสงจากจอทีวี(ในที่มืด) ฯลฯ ถ้าต้องอยู่นานๆ ควรหาแว่นตากันแสง(คุณภาพดีๆ)มาใส่
- ควรใส่แว่นป้องกันลม เมื่อต้องปะทะลมแรงๆ เช่น ขับมอเตอร์ไซด์ / มีแรงลมของพัดลม หรือ เครื่องปรับอากาศเป่ามาที่ดวงตา
- การจ้องมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ เช่น ดูคอมพิวเตอร์ / อ่านหนังสือ / ดูทีวี ฯลฯ ... ถ้ารู้สึกว่าน้ำตาไหลออกมาเอง แสดงว่า ดวงตาเริ่มแห้ง ควรกระพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคจากสิ่งรอบข้าง (น้ำตาช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดี)
- เมื่อพบอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาหรือการมองเห็นที่ผิดปกติ ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรค
     จะเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ดวงตาของเราเสื่อมสภาพไปแล้ว โอกาสที่จะกลับฟื้นคืนสภาพให้เหมือนเดิมจะทำได้ยากหรือบางกรณีอาจทำไม่ได้ ดังนั้น การป้องกันหรือการลดความเสี่ยง น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะครับ
การดูแลทางด้านโภชนาการ (อาหารของดวงตา) สารอาหารที่ปกป้องดวงตาจากความเสื่อม คือ สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งพบได้ในอาหารทั่วๆไปและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาทิ
กลุ่มวิตามิน ได้แก่ 
- วิตามิน ซี ,วิตามิน เอ
(ตัวช่วย/เสริมอาหาร วิตามิน เกลือแร่ ไฟโตนิวเทรียนท์ , วิตามินซี)
-
กลุ่ม ไฟโตนิวเทรียนท์ ได้แก่ 
- ลูทีน มีอยู่ในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ผักโขม ผักคะน้า บร็อกโคลี
- เบต้า แคโรทีน มีอยู่ในผักผลไม้ สีเหลืองๆส้มๆ เช่น แครอท ฟักทอง มะระกอสุก
- แอนโธไซยานิน มีอยู่ในผักผลไม้ มีน้ำเงิน ม่วง ดำ เช่น บิลเบอร์รี่ ,บลูเบอร์รี่ ,แบล็คเคอเรนท์ และ ผักสีม่วงต่างๆ ฯลฯ
(ตัวช่วย/เสริมอาหาร = I Blend, ผักและผลไม้รวมเข้มข้น)

ข้อแนะนำเพิ่มเติม 
- ควรทำตัวให้ห่างไกลโรคเบาหวาน เช่น ไม่อ้วน ,อย่าปล่อยให้มีพุงยื่น ,หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวาน ฯลฯ
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกชนิด
- ควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
- ควรรักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งดวงตา
- หลีกเลี่ยง "รังสี" ต่างๆ เช่น ยูวีจากแสงแดด ,แสงสปอร์ทไลท์ ,แสงไฟจ้าๆ ,แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
- ควรใส่แว่นตากันแสงยูวี เมื่ออยู่กลางแจ้ง แสงแดดแรงๆ
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ 8-10 แก้วต่อวัน
หมายเหตุ : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยารักษาโรค จึงไม่สามารถอ้างอิงได้ว่านำมาใช้ในการ บำบัด บรรเทา ป้องกัน หรือ รักษาโรค
: วัตถุประสงค์ในการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเพียงพอและสมดุล นอกเหนือจากที่ได้รับในอาหารมื้อปกติ เพื่อร่างกายจะได้นำสารอาหารที่ได้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน กรณีเป็นผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับดวงตา ควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด

การดูแลต่อมไทรอยด์

รักษามะเร็งด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป