โรคหูดับ

ไม่ร้ายแรง รักษาได้...แต่อาจไม่หายขาด


ปัจจุบันภาวะประสาทหูดับฉับพลัน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “หูดับ” คือการที่มีภาวการณ์ได้ยินที่ลดลงจากเดิมฉับพลัน ยังไม่สามารถค้นพบสาเหตุที่แน่ชัดได้ และไม่มีอาการบ่งชี้ให้ทราบล่วงหน้า แต่จะเกิดขึ้นฉับพลันทันที เช่น  ตื่นขึ้นมาแล้วหูข้างหนึ่งอื้อหรือได้ยินลดลงจนถึงขั้นดับไปเลย โดยไม่มีสาเหตุอะไรนำมาก่อนและสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกอายุ  ส่วนมากกลุ่มเสี่ยงคือผู้ใหญ่ โดยเพศชายและหญิงมีอัตราการเกิดภาวะหูดับพอ ๆ กัน

ภาวะหูดับไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักเกิดขึ้นบริเวณหูชั้นใน  สามารถระบุปัจจัยที่ทำให้เกิดได้หลายอย่าง  อาทิเช่น  มีการติดเชื้อ  มีเนื้องอก  มีการขาดเลือดที่จุดในหูชั้นใน ซึ่งหูชั้นในเป็นอวัยวะที่เล็กมาก เส้นเลือดจึงเป็นเส้นเลือดที่เล็กมากเช่นเดียวกัน  ดังนั้น  เมื่อเกิดอาการขาดเลือดก็ส่งผลต่อภาวะหูดับได้

การเจาะเลือดเพื่อตรวจภาวะการอักเสบติดเชื้อ เช่น เชื้อซิฟิลิส อาจทำให้มีอาการประสาทหูดับฉับพลัน หรืออาจจะต้องตรวจประสาทก้านสมอง  เพื่อดูว่ามีเนื้องอกตรงเส้นประสาทหรือไม่ บางทีเนื้องอกจะค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ  ตอนที่เนื้องอกยังเล็ก ๆ  มักจะไม่ส่งผลต่อภาวะหูดับ  แต่พอมันใหญ่ขึ้นก็จะไปเบียดกดทับประสาทการได้ยิน  หรือแม้แต่การตรวจผลเลือดอื่น ๆ  ร่วมด้วย  เช่น  ภาวะไขมันในเลือดสูง  เรื่องความเข้มข้นเลือด หรืออาจจะมีสาเหตุจากโรคอื่นที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น

เนื่องจากหูดับเกิดขึ้นบริเวณหูชั้นใน..จึงไม่สามารถตรวจหรือมองเห็นได้  แพทย์ผู้รักษาจึงต้องทำการตรวจหาสาเหตุต่างๆ  โดยอาจจะเป็นการเจาะเลือด  การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์  หรือว่าการตรวจพื้นฐานในเรื่องของการได้ยิน  หากไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้  อาจจะเกิดขึ้นเพราะมีการติดเชื้อ  แพทย์จะให้ยาลดการอักเสบและสันนิษฐานว่าสาเหตุเกิดจากการอักเสบของหูชั้นใน

ภาวะหูดับ...สามารถรักษาได้หรือไม่?
หลังจากการตรวจหาสาเหตุเบื้องต้นแล้ว  แพทย์จะพิจารณารักษาตามความรุนแรงของโรค เช่น บางคนมีภาวะหูดับ  แต่ไม่ถึงกับดับไปเลย  บางคนแค่เสียการได้ยินเหมือนหูตึง  หรือบางคนดับไปเลย
หากเป็นไม่มาก  ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ยากิน และต้องอธิบายให้คนไข้ทราบว่าไม่รับประกันผลการรักษา  เพราะภาวะดังกล่าวไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร  การให้ยากิน  เป็นแนวทางที่จะช่วยลดการอักเสบภายในหูชั้นใน  หลังจากกินยาแล้วไม่ได้ผล  แพทย์จะพิจารณาฉีดสเตียรอยด์ เข้าไปในแก้วหูชั้นในผ่านเยื่อแก้วหูเข้าไป  เพื่อให้ตัวยาเหมือนไปขังในหูชั้นใน  จากนั้น  ตัวยาจะแทรกซึมเพื่อลดอาการอักเสบ  ซึ่งการฉีดยาเข้าไปเป็นเพียงการเพิ่มโอกาสในการรักษาเท่านั้น
เมื่อไร? ที่ต้องฉีดสเตียรอยด์แก้วหู
การฉีดสเตียรอยด์แก้วหู  ใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหูดับฉับพลันหรือหูดับเท่านั้น  ปริมาณในการฉีดขึ้นอยู่กับช่องของหูชั้นกลาง  เวลาฉีดต้องฉีดผ่านเยื่อแก้วหู  ซึ่งแพทย์จะพิจารณาปริมาณในการฉีดโดยดูปัจจัยหลักด้านกายวิภาคของคนไข้
การฉีดสเตียรอยด์เป็นทางเลือกในการรักษาที่แพทย์เลือกใช้บ่อย  เนื่องจากจะช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้น    ผลข้างเคียงมีค่อนข้างน้อยเพราะเป็นการฉีดแค่เฉพาะที่  จึงไม่ค่อยส่งผลต่อระบบอื่นของร่างกาย  คนไข้สามารถมาฉีดสัปดาห์ละหนึ่งครั้งติดต่อกันเป็นเวลาสามสัปดาห์  จากนั้นแพทย์ผู้รักษาจะติดตามผล  ดูการตอบสนอง  การรักษาอาการหูดับด้วยการฉีดสเตียรอยด์ใช้เวลาไม่นาน

โรคหูดับไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
ภาวะหูดับไม่ใช่โรคที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต  แต่ว่าส่งผลต่อคุณภาพชีวิตค่อนข้างมาก  ทั้งเรื่องการฟัง  การสื่อสาร ปกติคนไข้ที่ประสบภาวะหูดับ  จะดับเพียงข้างเดียวและอีกข้างยังได้ยิน  แต่คนไข้จะกังวลไม่สบายใจ  และต้องใช้เวลาปรับตัวให้ชิน  ดังนั้น  แพทย์ที่รักษาต้องพยายามช่วยให้ดีที่สุด  เพราะไม่ใช่รักษาเพียงแต่ภาวะหูดับเท่านั้น  แต่ภาวะดังกล่าวยังส่งผลต่อโรคอื่น ๆ  ที่เกี่ยวกับการได้ยิน  และจะส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคนไข้
หูดับ...ไม่สามารถหายขาดได้
แพทย์ผู้รักษาต้องคุยกับคนไข้ให้เข้าใจว่าภาวะหูดับไม่สามารถรักษาให้หายได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์  เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มีสิ่งนำ ไม่มีเหตุการณ์มาก่อน  และโรคนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน  และต้องอธิบายให้เขาฟังว่าที่เป็นไม่ใช่โรคที่รุนแรงที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิต โรคนี้ไม่ใช่โรคอันตราย และยังเกิดขึ้นได้กับทุกคน
แม้ว่าทั่วโลกยังไม่มีวิธีการรักษาที่แน่นอน  แต่ทางการแพทย์ได้เสนอวิธีการรักษาที่ดีสุดเท่าที่มี  เพื่อให้คนไข้ดีขึ้น  ถึงแม้สุดท้ายไม่ประสบผลสำเร็จ...แต่โรคนี้ไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็นผู้พิการ  มันไม่ได้ทำให้คุณขาดความสามารถใด ๆ แต่คนไข้จะต้องปรับตัวกับการที่หูข้างหนึ่งได้ยินไม่เท่ากับอีกข้างหนึ่ง

การดูแลตนเอง..เมื่อเกิดภาวะหูดับ
แพทย์มีหน้าที่ต้องทำให้คนไข้ผ่อนคลายความกังวลลง  รวมถึงให้คำแนะนำเรื่องการดูแล  ป้องกันตนเองเมื่อเกิดภาวะหูดับฉับพลัน  เมื่อหูอีกข้างได้ยินไม่สมบูรณ์เหมือนก่อน  คนไข้ต้องหลีกเลี่ยงสถานที่เสียงดัง ๆ  และต้องระวังปัจจัยที่จะมากระทบกับหูมากขึ้น  เพื่อไม่ให้เกิดภาวะหูดับกับหูอีกข้างซึ่งยังไม่มีอาการ

ขอขอบคุณ
พญ.นิชธิมา ฉายะโอภาส
 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์หู คอ จมูก
โรงพยาบาลพญาไท2

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โปรตีนจากสัตว์มีความแตกต่างจากโปรตีนจากพืชอย่างไร?

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด